แคท น่ารักจัง

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

                       ฝูงนกกับแรดใจร้าย
             
      นานมาแล้วในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนกจำนวนมากมาอาศัยสร้างรังกันอยู่บนต้นไม้ นกหลายชนิดที่อาศัย ณ ทีนี้มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ 
  จนในวันหนึ่ง มีแรดตัวหนึ่งเดินเข้ามาในป่าแถบนั้น มันเห็นว่ามีนกมากมายอาศัยอยู่บนต้นไม้ แรดผู้กำลังหิว จึงเอานอของมันกระแทกไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง จนรังของนกสีเขียวที่อยู่บนต้นไม้นั้นตกลงมา จากนั้นมันจึงกินลูกนกตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในรังนั้น แม่นกสีเขียวโกรธมาก แต่มันไม่สามารถทำอะไรแรดตัวนั้นได้ เมื่ออิ่มจากการกินลูกนกแล้ว แรดก็เดินจากไป บรรดานกทั้งหมดจึงพร้อมใจกันมาประชุมหารือกัน นกสีแดงออกความเห็นว่า

          "แรดตัวนี้จะต้องหวนกลับมาอีกแน่นอน พวกเราต้องร่วมมือกันขับไล่มันไป" 
          แต่นกสีเขียวแย้งว่า "ไม่เอาหรอก แรดตัวนั้นใหญ่โตและแข็งแรงนัก"
          "ใช่ ๆ พวกเราคงทำอะไรมันไม่ได้หรอก" นกสีเหลืองเห็นด้วย 

        
          วันรุ่งขึ้น แรดตัวเดิมก็กลับมาอีก คราวนี้มันเอานอของมันชนกระแทกไปยังต้นไม้ที่นกสีเหลืองอาศัยอยู่ ทำให้รังของนกสีเหลืองตกลงมา จากนั้นมันจึงวิ่งชนต้นไม้อื่น ๆ อีกหลายต้น ลูกนกและไข่ในรังที่ร่วงหล่นลงมาล้วนตกเป็นอาหารของแรดจนหมดสิ้น บรรดาพ่อแม่นกต่างพากันเสียใจ ที่ไม่คิดหาทางรับมือกับแรดตัวนี้ไว้เสียแต่แรก ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของนกสีแดงที่เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้ว กลับมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย
เกมส์พื้นบ้านของไทย (สำหรับเด็ก)

วิ่งเปรี้ยว
ผู้ เล่นมีจำนวนตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป โดยจะแบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายเท่าๆกันสถานที่เล่นมักจะใช้ลานกว้าง และมีต้นไม้สองต้นเป็นหลักแข่งกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายจะต้องจัดแถวประจำที่หลักของตนเองเมื่อเริ่มเล่นคนที่อยู่หัว แถวต้องวิ่งไปอ้อมหลักของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นวกกลับมาส่งผ้าให้ผู้เล่นถัดไปที่หลักของตน เป็นคนวิ่งต่อไป ผู้เล่นของแต่ละฝ่ายต้องพยายามวิ่งกวดและใช้ผ้าไล่ตีฝ่ายตรงข้ามให้ทัน หากฝ่ายใดไล่ตีได้ทันถือว่าเป็นผู้ชนะ
ม้าก้านกล้วย
คนไทยรู้จักธรรมชาติและสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี เมื่อตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้านก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใช้และรักษาธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมอย่างชาญฉลาดเด็กไทยก็ดัดแปลงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาทำเป็นของเล่นได้อย่างเหมาะสมและสนุกสนาน
           ม้าก้านกล้วยเป็นของเล่นที่เด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยซุกซนชื่นชอบมากเด็กไทยทั่วไปจะรู้จักการเล่นม้าก้านกล้วยเป็นอย่างดี
           วิธีทำม้าก้านกล้วย ทำง่าย เด็กๆสามารถทำเล่นเองได้ ถ้าอยากเล่นม้าก้านกล้วย เด็กๆก็จะถือมีดเข้าไปในสวนหรือที่ทั่วไปตามบริเวณบ้านที่มีต้นกล้วย เพราะหมู่บ้านคนไทยจะปลูกต้นกล้วยไว้แทบทุกหลังคาเรือน
เมื่อเลือกใบกล้วยที่มีความยาวพอเหมาะ ก็จะตัดใบกล้วยมา เอามีดเลาะเอาใบกล้วยออก เหลือไว้ที่ปลายใบเล็กน้อยเพื่อให้เป็นหางม้า ที่ก้านด้านโคนจะมีขนาดใหญ่เกือบเท่าข้อมือของเด็กๆ ด้านนี้เอง เด็กๆจะกะความยาวประมาณหนึ่งคืบ หรือสองคืบ แล้วเอามีดฝานแฉลบด้านข้างของก้านตรงที่กะไว้ฝานบางๆไปทางด้านโคนทั้งสองข้าง เพื่อให้เป็นหูม้า พอได้ขนาดหูยาวตามต้องการแล้วก็เอามือหักก้านกล้วยตรงที่กะจะให้เป็นโคนหูม้า ก้านกล้วยก็จะกลายเป็นรูปม้ามีหูม้าชันขึ้นทั้งสองข้าง เสร็จแล้วก็เอาแขนงไม้ใผ่มาเสี้ยมปลายให้แหลม ความยาวประมาณคืบเศษ เสียบหัวม้าที่พับเอาไว้ เสียบทะลุไปที่ก้าน ไม้ที่เสียบก็จะมีลักษณะเหมือนสายบังเหียนที่ผูกปากม้ากับคอม้า เสร็จแล้วก็ทำเชือกกล้วยมาผูกด้านหัวม้าและหางม้า ทำเป็นสายสะพายบ่าแค่นี้ก็เสร็จ หาแขนงไม้ไผ่มา ๑ อันทำเป็นแส้ขี่ม้าตอนนี้ก็พร้อมที่จะเล่นม้าก้านกล้วยได้แล้ว
การเล่นม้าก้านกล้วยก็แล้วแต่เด็กๆจะคิดเล่น เช่น เล่นควบม้าวิ่งแข่งกันหาคนชนะ ควบม้าจัดกระบวนทัพต่อสู้กัน หาอาวุธตามรั้วคือแขนงไม้ไผ่มาทำเป็นดาบรบกัน หรือจะวิ่งแข่งกันเป็นคู่ๆ หากไม่มีเพื่อนก็ควบเล่นคนเดียวที่ลานบ้านหรือเลี้ยวไปตามป่ากล้ายในสวนก็ได้
             ม้าก้านกล้วย นอกจากเด็กๆจะทำเล่นได้เอง วัสดุก็หาง่าย วิธีเล่นก็ฝึกความคิด ฝึกการเล่นเป็นหมู่คณะมีผู้นำ ผู้ตาม วิธีเล่นก็เหมาะกับเด็กๆ ได้ออกกำลังกาย ได้เคลื่อนไหวเหมาะแก่วัยของเด็กๆ ม้าก้านกล้วยเป็นการละเล่นที่ง่ายและมีประโยชน์และเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ น่าสนใจอย่างยิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ห่านกับนกกระสา


นิทาน - ห่านกับนกกระสา


           ที่ริมหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นที่อาศัยของห่านและนกกระสา ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน และมักออกหากินด้วยกันเสมอ วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลียบหนองน้ำอยู่ มีนกกระยางตัวหนึ่งบินผ่านมา "นี่แน่ะเพื่อน ตรงโน้นมีหนองน้ำอีกแห่งหนึ่งที่นั่นมีกุ้ง หอย ปู ปลา เยอะแยะเชียว" นกกระยางบอก นกกระสาและห่านจึงพากันบินไปยังหนองน้ำตามคำบอกเล่าของนกกระยาง ที่หนองน้ำแห่งนั้นมีอาหารอุดมสมบูรณ์จริงตามที่นกกระยางพูด ห่านนั้นกินอาหารมากจนพุงกางในขณะที่นกกระสากินพออิ่ม

           "นาน ๆ ถึงจะพบแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์อย่างนี้ ทำไมท่านถึงกินเพียงนิดเดียวล่ะ" ห่านถาม " ข้าอิ่มแล้ว ถ้ากินมากเกินไป ข้ากลัวว่าจะบินกลับไม่ไหว" นกกระสาตอบ "แต่ข้ายังกินได้อีกเยอะ" ห่านพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

           ขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นนกทั้งสองเข้า นายพรานจึงยกธนูขึ้นเล็งไปที่นกสองตัวนั้นทันที นกกระสาบังเอิญเหลือบมาเห็นนายพรานเข้าพอดี จึงร้องเตือนห่านก่อนที่ตัวเองจะรีบบินหนีไป ห่านซึ่งกินอาหารมากเกินไปจนบินหนีไม่ไหว มันจึงถูกนายพรานยิงตายในที่สุด

สิงโตกับหมูป่า

นิทาน -  สิงโตกับหมูป่า

โดย : คุณครูเบญจมาศ อยู่เชื้อ
โรงเรียนศรีนคร อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย

          อากาศที่ร้อนจัดของวันหนึ่งในฤดูร้อน ทำให้สัตว์ทั้งหลายรู้สึกกระหายน้ำไปตาม ๆ กัน สิงโตตัวนี้ก็เช่นกัน มันกำลังเดินออกไปหาน้ำดื่ม สิงโตเดินตรงไปยังบ่อน้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เวลานั้นมีหมูป่าที่กำลังหิวน้ำตัวหนึ่งเดินตรงมาที่บ่อน้ำแห่งนี้ ด้วยเช่นกัน สิงโตและหมูป่าจึงประจันหน้ากันที่ข้างบ่อน้ำนั้น ทั้งคู่ต่างต้องการที่จะเป็นผู้ที่ได้ดื่มน้ำก่อน จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น สัตว์ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน

          สิงโตและหมูป่า ต่างก็ต่อสู้กันอย่างไม่ลดละจนหมดเรี่ยวแรงด้วยกันทั้งคู่ และก่อนที่พวกมันจะลงมือต่อสู้กันอีก ทั้งสองก็เหลือบไปเห็นนกแร้งกลุ่มหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และพากันจ้องมองมายังพวกมันอยู่ สิงโตจึงหันมาพูดกับหมูป่าว่า "ข้าว่าเราเลิกต่อสู้กันเถอะ" "เพราะไม่เช่นนั้น เราทั้งสองอาจกลายเป็นอาหารของเจ้าแร้งพวกนั้นได้" หมูป่าเห็นด้วยจึงตอบตกลงในทันที จากนั้นสิงโตก็บอกให้หมูป่าดื่มน้ำก่อน และเมื่อทั้งคู่ดื่มน้ำจนพอใจแล้ว จึงเดินแยกจากกันไปด้วย

เต่ากับงู (KARN.TV)



             ในกาลครั้งหนึ่งหลายร้อยปีผ่านมาแล้ว มีเต่าและงูอาศัยอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งเต่าและงูต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน เนื่องจากต่างก็แย่งกันเป็นใหญ่ ต้องการจะเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้
             งูพยายามอยู่เสมอที่จะฉกเต่าให้ตาย แต่เต่าก็จะรีบหดหัว หดขาเข้ากระดองไปทุกครั้ง งูจึงได้แต่ฉกกัดกระดองที่แข็ง ซึ่งไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้แก่เต่าเลย เต่าจึงหัวเราะเสียงดัง ฮ่า ๆๆ แล้วกล่าวว่า

นิทาน

             "เห็นไหม ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้ ข้าเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้  ฮ่าๆๆ"
            

             งูโกรธมากจึงถามขึ้นว่า "ท่านทำอย่างไรจึงได้แข็งแรงอย่างนี้"

             เต่าตอบว่า "ข้าแข็งแรง เพื่อน ๆ ของข้าก็แข็งแรง ทั้งนี้เพราะพวกเราต้องตัดศีรษะของพวกเรา ในเวลากลางคืนทุกวัน"

             "เอ๊ะ น่าสนใจดีนี่ ถ้าข้าจะชวนเพื่อน ๆ มาดูด้วยท่านจะแสดงการตัดศีรษะให้พวกข้าดูด้วยได้ไหม"

             "อ๋อ ได้ซิ" เต่าตอบตกลง

นิทาน

             ดังนั้น ทั้งงูและเต่าต่างก็ชวนเพื่อนฝูงและครอบครัวมากันอย่างมากมาย พวกเต่าจะอยู่ที่ฝั่งด้านหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนงูนั้นคอยเฝ้าดูอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เต่าตัวแรกจะถือท่อนไม้แข็งไว้ และแสดงท่าเหมือนกำลังจะตัดศีรษะเต่าอีกตัว ส่วนเต่าตัวอื่น ๆ ก็ทำตาม แต่พวกเต่าไม่ได้ ตัดศีรษะจริง ๆ เพียงแต่พวกมันหดศีรษะเข้าไปในกระดองเท่านั้น

             พวกงูทั้งหลายหลงเชื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าสนใจ ดังนั้นในตอนสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น มันจึงเดินทางมาหาเต่าแล้วพูดว่า "พวกข้าต้องการตัดศีรษะทุก ๆ คืน จะได้แข็งแรงอย่างพวกท่าน แต่พวกเราไม่มีมือ ไม่มีเท้า จึงอยากให้พวกท่านช่วย"


             "อ๋อ ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง" เต่ารีบอาสาทันทีพร้อมยิ้มอยู่ในใจ

             พอตกกลางคืน เต่าทุก ๆ ตัว ต่างก็ถือท่อนไม้แข็งไว้ และใช้ท่อนไม้นี้ ตัดศีรษะของงูทุก ๆ ตัว แต่งูไม่มีกระดองที่จะหดศีรษะไว้ข้างในได้ ดังนั้นงูจึงถูกเต่าใช้ท่อนไม้แข็งตีศีรษะจนตายทุกตัว    

             เมื่อพวกงูตายหมดแล้ว พวกเต่าก็ได้เป็นใหญ่ เต่าตัวที่เป็นเจ้าของความคิดก็กลายเป็นราชา แห่งลุ่มน้ำนี้อย่างไม่มีคู่แข่งตลอดไป

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

การเรียนรู้

มีหลายสิ่งที่คุณแม่สามารถช่วยให้ลูกน้อยเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ แม้ว่าลูกจะยังพูดโต้ตอบไม่ได้ แต่คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อยๆ และส่งยิ้มให้ลูก จะช่วยให้ลูกพูดได้เร็วขึ้น  เมื่อถึงมื้ออาหาร คุณแม่อาจจัดเตรียมข้าว ไข่หรือปลาและผักใส่จานพลาสติกสำหรับเด็ก และเปิดโอกาสให้ลูกได้รับประทานเองเพื่อฝึกการใช้มือและนิ้ว รับรองว่าลูกน้อยจะสนุกกับการรับประทานอาหารอย่างแน่นอน  เวลาอาบน้ำจะยิ่งเป็นเวลาสนุกสนานมากขึ้นสำหรับลูกน้อย เพราะลูกจะได้เรียนรู้ว่าร่างกายที่เคลื่อนไหวอาจทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น เช่น การตีน้ำในอ่างดังจ๋อมแจ๋ม และคุณแม่อย่าลืมแขวนผ้าเช็ดตัวหรือผ้าอ้อมไว้ใกล้มือด้วย
 

ริ่มหัดเปล่งเสียง

ช่วง 4 – 6 เดือนเป็นช่วงเวลาแสนวิเศษเพราะลูกน้อยจะเริ่มออกเสียงแบบต่างๆ จะมีเสียงโน้นเสียงนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่หนูน้อยออกเสียงอืออาและเล่นเสียง ในบางครั้งคุณอาจเริ่มได้ยินเสียงเบาๆ คล้ายๆ คำว่า “แม่” หรือ “พ่อ” แต่คุณแม่คงต้องรอระยะหนึ่งกว่าลูกน้อยจะรู้จักเรียก “แม่” อย่างแท้จริง เพราะในเวลานี้ ลูกเพียงฝึกออกเสียงแบบต่างๆ เท่านั้น  เสียงสวรรค์ที่คุณแม่ได้ยินเป็นครั้งแรกก็คือ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนาน ลองเล่นจั๊กจี๋เบาๆ กับลูกดูสิ แม่กับลูกจะได้หัวเราะสนุกสนานร่วมกัน คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อยๆ เพราะจะเป็นการฝึกพัฒนาการด้านการพูดของลูกได้เป็นอย่างดี
 


มาตรฐานการเติบโตของเด็ก ตั้งแต่แรกเกิด - 6 ปี โดยเฉลี่ย


อายุน้ำหนัก(กิโลกรัม) ส่วนสูง(เซนติเมตร)
แรกเกิด350
3 เดือน5.560
6 เดือน767
1 ปี975
1 ปีครึ่ง10.580
2 ปี1285
3 ปี1492
4 ปี16100
5 ปี18108
6 ปี20115

หมายเหตุ เด็กปกติอาจจะมีการเติบโตแตกต่างจากค่าเฉลี่ยนี้ได้บ้างเล็กน้อย

อาหารทารก ใน 1 วัน

อายุอาหาร
แรกเกิด
ถึง 3 เดือน
น้ำนมแม่ แต่เพียงอย่างเดียว อย่าให้ข้าวหรือกล้วย
3 เดือนน้ำนมแม่ ข้าวบด 1 - 2ช้อนคาว และน้ำแกงจืด สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกงอมบด
4 เดือนน้ำนมแม่ กล้วยน้ำว้าสุกงอมบด 1 ผล ข้าวบด 1 - 2 ช้อนคาว กับไข่แดงต้มสุกครึ่งฟอง และน้ำแกงจืด
5 เดือนน้ำนมแม่ กล้วยน้ำว้า หรือผลไม้สุกบด 3 ช้อนคาว ข้าวบด 2 - 4 ช้อนคาว กับไข่แดงต้มสุก 1 ฟอง สลับกับ เนื้อปลาสุกบด และน้ำแกงจืด
6 เดือนน้ำนมแม่ ผลไม้สุกบด 3 ช้อนคาว ข้าวบด 4 - 6 ช้อนคาว กับไข่แดงต้มสุก 1 ฟอง สลับกับ เนื้อปลาสุกบด ใส่ผัก และน้ำแกงจืด
7 เดือนน้ำนมแม่ ผลไม้สุก ข้าวบด กับไข้ต้มสุก หรือเนื้อปลาสุกบด หรือเนื้อหมูสุกบด หรือตับบด ใส่ผักสุกบด และน้ำแกงจืด
8-10 เดือนน้ำนมแม่ กินข้าว 2 มื้อ ผลไม้สุก ข้าวบด กับไข้ต้มสุก หรือเนื้อปลาสุกบด หรือเนื้อไก่สุกบด ใส่ผักสุกบด และน้ำแกงจืด
10-12 เดือนน้ำนมแม่ กินข้าว 3 มื้อ ผลไม้สุก ข้าวหุงจนนุ่ม กับไข้ต้มสุก หรือเนื้อปลาสุก หรือเนื้อวัวสุกบด หรือเนื้อไก่ต้มสุก หรือตับ และน้ำแกง จืดใส่ผัก

 อาหารสำหรับเด็กอายุ 1-5 ปี ใน 1 วัน

อาหารปริมาณอาหารคำแนะนำเพิ่มเติม
นม2 แก้วนมสด หรือนมผสม นอกเหนือจากนมแม่ ซึ่งให้ต่อไปได้ ถึงขวบครึ่ง
ไข่1 ฟองไข่ไก่ หรือไข่เป็ด (สุกๆ เพราะย่อยง่าย)
เนื้อสัตว์(สุก)3-4 ช้อนโต๊ะกินอาหารทะเล และเครื่องในสัตว์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง**
ข้าวสวย1-2 ถ้วยหุงแบบไม่เช็ดน้ำ หรือนึ่ง
ผัก1/2-1 ถ้วยกินผักใบเขียว และผักอื่นๆ ด้วย ทุกมื้อ
ผลไม้มื้อละ 1/2-1 ผลผลไม้สดตามฤดูกาล หรือน้ำผลไม้คั้น
ไขมันหรือน้ำมัน2 ช้อนชาควรกินน้ำมันพืชมากกว่าน้ำมันสัตว์
1. ถ้าไม่ได้กิน นมหรือไข่ ควรกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น อีกอย่างน้อย 2-3 เท่า
2. อาหารสำหรับเด็ก ควรตัดให้เป็นชิ้นเล็ก สุก และเคี้ยวง่าย
3. 1 ถ้วย คือ 16 ช้อนโต๊ะ

นมแม่ดีที่สุด


นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุด เพียงอย่างเดียว สำหรับทารกแรกเกิด จนถึงอายุ 3 เดือน เพราะมีสารอาหาร เหมาะสมครบถ้วน ย่อยง่าย มีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อ และสารกระตุ้นการเติบโต ของสมองและอวัยวะอื่นๆ ซึ่งไม่มีอยู่ในนม ชนิดอื่นใด การเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ เพิ่มความผูกพันใกล้ชิด ระหว่างแม่กับลูก และช่วยประหยัดได้ด้วย
แม่ที่เลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ ควรกินอาหารที่มีคุณค่า ครบถ้วนเพียงพอทุกวัน เพื่อสร้างน้ำนมให้ลูก
เพราะนมแม่มีประโยชน์ต่อลูกมาก ถึงลูกจะได้รับอาหารอื่น เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ควรให้ลูกกินนมแม่ต่อไป เท่าที่จะทำได้ หรือถึง 18 เดือน
การให้นม แม่ควรจะอุ้ม มองหน้าสบตา คุยด้วย หลังให้นม ควรอุ้มยกตัวเด็กขึ้นสักครู่ เพื่อให้เรอ จะช่วยให้ท้องไม่อืด และไม่แหวะนมง่าย

แม่-ลูกใกล้ชิดกัน

แม่-ลูกใกล้ชิดกันเร็วที่สุด
แม่ควรจะได้เห็นหน้าลูก และใกล้ชิดกัน ตั้งแต่ในครึ่งชั่วโมงแรก หลังคลอด เพื่อสร้างความผูกพัน และควรให้ลูกได้เริ่มดูดนมแม่ โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการตุ้นน้ำนม ให้หลั่งออกมาตามปกติ และควรให้ลูกได้ดูดน้ำนมช่วงแรก ซึ่งเป็นหัวน้ำนม สีเหลืองค่อนข้างใสด้วย เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง และมีภูมิต้านทางโรค หลายชนิด
การได้รับสัมผัสโอบกอด จากแม่และดูดนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรก และบ่อยๆ ต่อเนื่องกัน ตามที่เด็กต้องการ จะเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก และสนองตอบความตื่นตัว ของระบบประสาทของเด็ก ซึ่งมีคุณค่ามากที่สุด
ส่วนพ่อ ก็ควรมีส่วนร่วมตั้งแต่แรกเริ่ม โดยสนใจดูแลใกล้ชิด และให้กำลังใจแก่แม่ ช่วยดูแลให้แม่ ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนเพียงพอ ช่วยแบ่งเบา ภาระอื่น ของแม่ เพื่อให้แม่ได้พักฟื้น และมีเวลาเลี้ยงลูก ได้อย่างเต็ม

อาหารเด็ก

 อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ และให้นมลูก
อาหารปริมาณอาหารต่อหนึ่งวัน
หญิงตั้งครรภ์หญิงให้นมลูก
นม2-3 แก้ว2-3 แก้ว
ไข่1 ฟอง1 ฟอง
เนื้อสัตว์ ปลา หรือ
ถั่วเมล็ดแห้ง
10 ช้อนโต๊ะ12 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสวย5 ถ้วย5-6 ถ้วย
ผัก1 1/2-2 ถ้วย1 1/2-2 ถ้วย
ผลไม้มื้อละ 1-2 ผล หรือ
1-2 ชิ้นของผลใหญ่
มื้อละ 1-2 ผล หรือ
1-2 ชิ้นของผลใหญ่
ไขมัน/น้ำมันพืช4 ช้อนชา5 ช้อนชา
*1 ถ้วยคือ 16 ช้อนโต๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พัฒนาการของเด็ก 4-5 ขวบ        
พัฒนาการเฉพาะวัย

      ล้างมือล้างหน้า แปรงฟันได้เอง แต่อาจมีผู้ใหญ่ช่วยดูแลบ้าง  สนใจห้องน้ำ และกิจกรรมในห้องน้ำของคนอื่น ต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนใหญ่จะไม่ฉี่เปียกเสื้อผ้าในเวลากลางวัน แต่บางครั้งก็กลั้นไม่อยู่ หรือบอกไม่ได้  ส่วนใหญ่จะไม่ฉี่รดที่นอน จะขับถ่ายหลังอาหารเช้า หรืออาหารกลางวัน ทานอาหารได้ดีขึ้น ใส่และถอดเสื้อผ้าได้เอง บางคนผูกเชือกรองเท้าได้
พัฒนาการด้านการเล่น
      ชอบเล่นนอกบ้าน ชอบเล่นน้ำทราย ชอบสร้าง ต่อเติม ต่อบล็อก ภาพต่อ ฯลฯ ชอบใส่เสื้อผ้าผู้ใหญ่และเล่นบทบาทสมมติ ชอบระบายสีด้วยนิ้วมือ ปั้นดินเหนียว ชอบเล่นบ้านและตุ๊กตา
อารมณ์และจิตใจ

  • อ่อนไหวต่อคำชมและคำตำหนิ
  • ชอบออกนอกกฎเกณฑ์
  • ชอบส่งเสียงดัง
  • ชอบดูดหัวแม่โป้งตอนจะนอน
  • เด็กผู้ชายชอบจับอวัยวะเพศเวลาหงุดหงิด
  • สนใจเรื่องการแต่งงาน
  • ซักถามว่าเด็กออกมาจากท้องแม่ได้อย่างไร
  • ชอบสงสัยว่ามีการซื้อขายเด็กได้ไหม
  • ขี้โม้ขี้อวด เริ่มรู้จัก สิ่งดี และ สิ่งไม่ดี

พัฒนาการของเด็ก 2-3 ขวบ

พัฒนาการของเด็ก 2-3 ขวบ
     กล้ามเนื้อใหญ่ ยืนบนขาข้างเดียวได้ 2 วินาที วิ่งได้ดีแต่ไม่สามารถเริ่มหรือหยุดได้ทันที กระโดดขึ้นสองขาพร้อมกันและกระโดดลงจากเก้าอี้ได้ กระโดดข้ามเชือกที่กั้นสูงจากพื้น 8 นิ้ว เคลื่อนไหวนิ้วมือแต่ละนิ้วได้โดยอิสระ
     กล้ามเนื้อเล็ก มือและนิ้วมือทำงานประสานกันได้ดี ต่อแท่งบล็อกได้สูง 8 ชั้น เคลื่อนไหวนิ้วมือแต่ละนิ้วได้โดยอิสระ
     ภาษา พูดและรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้คำใหม่ ๆ ประมาณ 50 คำ / เดือน ใช้ประโยคที่มี 4 คำได้ บอกชื่อจริงและนามสกุลได้ ชอบดูหนังสือภาพ ชอบผังบทกลอน

     สติปัญญา อยากจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยการตั้งคำถามบ่อย ๆ รู้จักสีหลายสี เริ่มมีสมาธิ ตั้งอกตั้งใจเป็น สนใจค้นหาสำรวจสิ่งต่าง ๆ
     สังคม ชอบช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ชอบออกคำสั่ง แยกระหว่าง “คุณพ่อ” กับ “คุณแม่” ได้ บางครั้งก็ยังใช้ภาษา คำพูด และท่าทางแบบเด็กทารก
     จิตใจและอารมณ์ อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ยอมยืดหยุ่น ต้องเอาให้ได้อย่างใจต้องการ รู้ถึงเพศของตน เริ่มสนใจความแตกต่างทางร่างกายระหว่างหญิงและชาย
     การเล่น เริ่มสนใจการเล่นรวมกับเด็กอื่น ชอบเล่นโทรศัพท์ของจริง แต่ยังพูดประโยคยาว ๆ ไม่ได้ เริ่มเล่นแบบจินตนาการและสมมติ ต่อภาพจิ๊กซอว์ที่มีชิ้นส่วน 6-12 ชิ้นได้ชอบละเลงสีด้วยนิ้วมือ และกดดินน้ำมันด้วยแป้นพิมพ์
     พัฒนาการเฉพาะวัย ส่วนใหญ่จะควบคุมการขับถ่ายได้ในตอนกลางวัน ตักอาหาร ดื่มน้ำจากแก้วได้หกเล็กน้อย ให้ความร่วมมือในการแต่ง

พัฒนาการของเด็กวัย3-4ปี

 
พัฒนาการของเด็ก 3-4 ขวบ
กล้ามเนื้อใหญ่ วิ่งได้ดี เดินเขย่งปลายเท้าได้ไกล 10 ฟุต เดินทรงตัวบนไม้กระดานได้ โยนและรับลูกบอลได้ดี กระโดดได้สูง กระโดดสองขาและกระโดขาเดียวได้ 2-3 ก้าว ถีบจักรยานได้คล่อง หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ดี
กล้ามเนื้อเล็ก ลากเส้นวาดรูปได้แล้ว ชอบกระพริบตาเพราะมีการปรับระบบประสาทตา ใช้กรรไกรตัดกระดาษได้ดี จับดินสอได้ดี
ภาษา พูดประโยคยาว ๆ ได้มากขึ้น เป็นประโยคที่ใช้คำ 4-5 คำ รู้จักเรียงประโยคได้ถูกต้อง มักจะใช้คำ “สมมติว่า…” ชอบทำเสียงแปลก ๆ
สติปัญญา บอกรูปร่างและขนาดได้ จับคู่สิ่งของได้ถูกต้อง บอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้ เข้าใจคำว่า “ที่สุด” ได้

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ภาวะปกติในทารกแรกเกิด

     การสะดุ้งหรือผวา : เวลามีเสียงดัง หรือเวลาสัมผัส แสดงถึงระบบประสาทที่ปกติ จะพบได้ในทารกที่นอนหลับสนิท และจะพบได้จนอายุ 6 เดือน
     การบิดตัว : ทารกคลอดครบกำหนด มีการเคลื่อนไหวเวลานอนคล้ายผู้ใหญ่บิดขี้เกียจ ทารกจะยกแขนเหนือศีรษะ งอเข่า ตะโพก และข้อเข่า และบิดตัว พบได้ในทารกที่ปกติ ไม่ใช่เกิดจากการชักบิดผ้าอ้อม
     การสะอึก : เกิดจากทารกดูดนมมาก และเร็ว ทำให้กระเพาะอาหารขยายใหญ่ ดันกระบังลม ทำให้สะอึก วิธีแก้ไข โดยไล่ลมในท่านั่ง หรืออุ้มพาดบ่า นาน 5 -5 10 นาที
     การแหวะนม : ทารกแรกเกิด หูรูดกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่ดี เมื่อดูดนมและดูดกลืนอากาศเข้าไป ทำให้แหวะนมหลังให้นม
วิธีแก้ ไล่ลมบ่อยระหว่างให้นมลูก โดยอุ้มให้นั่งหรือ อุ้มพาดบ่าหลังให้นม หรือให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อย และนอนตะแคงขวานาน ครึ่งชั่วโมง

     ผิวหนังลอก : จะเกิดขึ้นหลังอายุ 1 - 2 วัน จะหายไปราว 2 - 3 วันโดยไม่ต้องให้การรักษา
     ลิ้นขาว : ให้มารดาใช้สำลีชุบน้ำต้มสุก พันนิ้วก้อยให้แน่น เช็ดลิ้นทารกวันละครั้ง ห้ามใช้ผ้าอ้อมเปื้อนปัสสาวะเช็ดลิ้น
              

การดูแลเด็ก

 การดูแลทารกประจำวัน
      การอาบน้ำ : อาบด้วยน้ำอุ่น ควรอาบเสร็จภายใน 5-7นาที ในที่ลมไม่โกรก อาบวันละ 2 ครั้ง และสระผมวันละครั้ง ไม่ควรอาบน้ำทันทีหลังให้นม
      การขับถ่าย : การถ่ายปัสาวะ หลังถ่ายให้เปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้ง ถ้าปล่อยไว้นานทารกจะตัวเย็น
                        การถ่ายอุจจาระ ทารกที่กินนมแม่จะถ่ายบ่อย มีสีเหลือง จะมีเม็ดเล็กๆคล้ายเม็ดมะเขือ เพราะนมแม่ย่อยง่าย ช่วยระบายท้อง
                        การทำความสะอาดก้น เช็ดด้วยสำลีชุบน้ำสะอาด เช็ดจากบนลงล่าง ห้ามเช็ดกลับไปกลับมา

      การดูแลสะดือทารก : สะดือจะหลุดภายใน 7 - 14 วัน ดูแลให้โคนสะดือ และสะดือ แห้ง เสมอ เช็ดด้วยไม้พันสำลีชุบแอลกอฮอล์ วันละ 3 ครั้ง เมื่อสะดือใกล้จะหลุดจะมีเลือดออก ห้ามใช้แป้งและยาโรยสะดือ
      การให้นมบุตร : ให้ลูกดูดนมแม่ทุก 2 ชั่วโมง ไม่ต้องให้น้ำตาม เพราะนมแม่มีน้ำเพียงพอ   ดูการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่   
      การทำความสะอาดเสื้อ ผ้าอ้อม : ซักด้วยสบู่เ็ด็ก หรือน้ำยาซักผ้าเด็ก ควรแยกซักจากของผู้ใหญ่

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ของท่านพุทธทาส เรื่อง เจ้าของเรือ

นิทานเรื่องสั้น


นิทานเรื่องสั้น ของท่านพุทธทาส  เรื่อง เจ้าของเรือ
"พ่อจ๋า พ่อว่า พ่อเป็นเจ้าของเรือ แต่พ่อต้องล้างเรือ เช็ดถูเรือ ต้องชะโลมน้ำมัน ให้มันบ่อยๆ พ่อต้องเก็บรักษา แจวพาย และ เครื่องใช้ ในเรือ ทุกๆ อย่าง แล้วพ่อก็แจว เมื่อพาพวกเราไปนั่งเรือเล่น พร้อมกับเพื่อนบ้านของเราทุกคน พ่อเหนื่อยเกือบตาย ทีพวกนั้น ทำไมนั่งสบาย ไม่ช่วยพ่อแจว ไม่ช่วยพ่อเช็ดล้างเรือบ้างเล่าพ่อจ๋า?" หนูจ้อย ถามพ่อ ทำตาแดงๆ
"ก็พ่อเป็น เจ้าของเรือ นี่ลูกเอ๋ย"
"ใครเป็นเจ้าของอะไร ก็ต้องเหนื่อยเกือบตาย ใครไม่เป็นเจ้าของก็สบาย พ่อเห็นว่า มันจะยุติธรรมหรือ?"
"ธรรมเนียม มันเป็นอย่างนั้นเอง ใครเป็นเจ้าของ ก็ต้องทนเหนื่อย ทนหนักใจ"
"แล้วพ่อจะขืน เป็นเจ้าของเรือ ไปทำไม ให้เขาเสีย แล้วขอนั่งกะเขา เป็นครั้งคราว เหมือนที่เขานั่งเรือเรา อย่างสนุกสนาน มิดีกว่าหรือ?"
"ก็ พ่อ อยากจะเป็น เจ้าของเรือสักลำหนึ่ง นี่ลูกเอ๋ย"
"ขออย่าให้ ฉันต้องเป็น เจ้าของเรือ ร่วมกับพ่อ ฉันจะ ไม่ยอมเป็น เจ้าของ อะไรๆ เลย แม้แต่ ตัวของฉันเอง!"
"แล้วลูก จะอยู่ได้อย่างไร?"
"อยู่อย่าง ไม่ต้อง ทนเหนื่อย เหมือนพ่อ และตรงกันข้าม จากพ่อ ทุกประการ!"
ดังนั้น หนูจ้อยจึงกลายเป็น เณรจ้อยไป เพราะเขา ไม่อยากเป็น เจ้าของสิ่งใด แต่อยากเป็นอยู่ ชนิดที่เขาเห็นว่า ตรงกันข้าม จากพ่อ ทุกประการ 
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ถ้าใครไม่เป็น เจ้าของสิ่งใด กลับจะได้กิน "ไข่แดง" ของสิ่งนั้น (เหมือน คนที่มาพลอย นั่งเรือเล่น กับพ่อ) ส่วนใครที่เป็น เจ้าของสิ่งใด เขาจะกินได้เพียง "ไข่ขาว" ของสิ่งนั้น ซึ่งบางที ถึงกับอาจจะต้อง กินเปลือกไข่ หรือ มูลโสโครก ที่ติดอยู่กับ เปลือกไข่ เข้าไปด้วยกัน ดังนี้แล้ว ใครจะอยู่ใน สภาพที่น่าสงสาร กว่าใคร ในระหว่าง พ่อ-ลูก สองคนนี้ เพื่อตอบปัญหา เกี่ยวกับ ตัวเราโดยตรง สืบไป



วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พัฒนาการเด็กปฐมวัย

พัฒนาการเด็กปฐมวัย เพื่อปรับใช้

พัฒนาการ หมายถึง
กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านวุฒิภาวะ ( maturity) ของอวัยวะระบบต่างๆ
และตัวบุคคล ทำให้เพิ่ม ความสามารถของระบบและบุคคลให้ทำหน้าที่ต่างๆ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนยิ่งขึ้นได้
ตลอดจนการเพิ่ม ทักษะใหม่และความสามารถในการปรับตัวในภาวะใหม่ของบุคคลนั้น

     พัฒนาการของเด็ก จะแบ่งออกเป็น 6 ด้านดังนี้
          • พัฒนาการด้านร่างกาย
          • พัฒนาการด้านการรับรู้
          • พัฒนาการด้านสติปัญญา
          • พัฒนาการด้านภาษา
          • พัฒนาการด้านอารมณ์
          • พัฒนาการด้านสังคม

   พฤติกรรมและทักษะชีวิตของมนุษย์ได้จากการเรียนรู้และการสะสมประสบการณ์
การเรียนรู้ทักษะบางอย่างจะง่ายและ
ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าอีกเวลาหนึ่งและสังคมจะคาดหวังให้เด็กแต่ละคนทำพฤติกรรมที่เหมาะสมให้ได้
ในแต่ละช่วงอายุของบุคคล พัฒนาการที่สำคัญในแต่ละวัย
          วัยทารก ( 0-2 ปี) อายุ 0-6 สัปดาห์ เด็กมองหน้าแม่ ทำเสียงในลำคอ ฟังเสียงคุยแล้วยิ้มตอบ
          อายุ 4-6 เดือน จำหน้าแม่ได้ ส่งเสียงอ้อแอ้และยิ้มตามเสียง เด็กสามารถเอื้อมคว้าจับสิ่งของมาเข้าปาก

        อายุ 6-9 เดือน สามารถแยกเสียงของแม่ได้
เริ่มแยกแยะความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ชัดเจน เด็กจำหน้าแม่ได้
เด็กจะแสดงอาการแปลกหน้ากับผู้ที่ไม่ คุ้นเคย และจะติดแม่ เรียกว่า
กลัวคนแปลกหน้า (Stranger anxiety)
          อายุ 9-12 เดือน
เด็กมีความผูกพันใกล้ชิดกับผู้เลี้ยงดู (Attachment) และจะติดผู้เลี้ยงดู
เมื่อต้องแยกจากพ่อแม่/ผู้เลี้ยงดู เด็กจะร้องไห้และร้องตาม
เมื่อพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูกลับมา
เด็กจะแสดงความดีใจโผเข้าหาและเข้ามาคลอเคลีย
เด็กวัยนี้จะเริ่มกลัวการพลัดพราก (Separation anxiety)
       
อายุ 12-18 เดือน เด็กหัดเดินและชอบสำรวจ
ระยะนี้เด็กจะกระตือรือร้นที่จะสำรวจสิ่งแวดล้อมค้นหาสิ่งแปลกใหม่เด็กมัก
จะใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสำรวจตรวจตรา
ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งที่เป็นอันตราย - ในวัยนี้เด็กจะทดสอบสิ่งต่างๆ
และดูผลของการกระทำต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถ้าพอใจเด็กจะโยนของเล่น
ว่าจะตกลงมาอย่างไร ถ้าพอใจเด็กจะโยนซ้ำ
ถ้าไม่พอใจเด็กจะหยุดหรือหาวิธีอื่นๆ
บางครั้งเด็กจะกรีดร้องจะเอาของมาโยนอีก - เด็กเริ่มพูดได้
เป็นคำๆอย่างน้อย 10 คำ
          อายุ 18-24 เดือน - เด็กเรียนรู้ภาษาอย่างรวดเร็ว และจดจำคำศัพท์ได้ดี

        อายุ 2-3 ปี - เด็กเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น -
เด็กรู้ว่าตนเองเป็นบุคคลหนึ่งที่แยกจากสภาพแวดล้อม
ทำให้เด็กต้องการเป็นตัวของตัวเอง เด็กจะ พยายาม ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
เช่น จับช้อนตักอาหารเอง เด็กจึงมีพฤติกรรมต่อต้าน ( Negativism)
ชอบพูดว่า ไม่ ” “ ไม่เอา ” “ ไม่ทำ เป็นต้น
          อายุ 3-5
ปี พัฒนาการด้านร่างกาย เด็กบังคับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
เด็กชอบปีนป่ายเตะบอล รักลูกบอล ชอบเล่นในสนาม เด็กสามารถขี่
จักรยานสามล้อได้ พัฒนาการด้านสติปัญญา -
เด็กเชื่อว่าสิ่งของทุกอย่างมีชีวิติ (Animism)
เด็กชอบเล่นสมมุติโดยจะเอาตุ๊กตาตามมาเล่นแล้วสมมุติ เป็นพ่อแม่ลูก
แสดงท่าป้อนข้าวลูก อาบน้ำแต่งตัวให้ลูก
แสดงเป็นเรื่องราวเหมือนว่าตุ๊กตาเป็นสิ่งมีชีวิต -
เด็กเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกมีจุดหมาย เด็กมักถามว่า ทำไม ” “
ทำไมรถจึงวิ่งฯลฯ - เด็กจะเชื่อมโยงปรากฎการณ์ 2
อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันว่าเป็นเหตุและเป็นผลซึ่งกันและกัน
พัฒนาการด้านภาษา พัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กชอบใช้คำถาม นั่นอะไร ” “
นี่อะไร ” “ พ่อไปไหน เด็กสามารถเข้าใจ คำสั่งง่ายๆได้
       
เด็กอายุ 4 ขวบชอบใช้คำถาม ทำไม พัฒนาการด้านอารมณ์
เด็กเริ่มมีลักษณะอารมณ์แบบผู้ใหญ่ คือ โกรธ อิจฉา กังวล ก้าวร้าว พอใจ
เป็นต้น เด็กจะแสดงความโกรธ ด้วยการกรีดร้อง ดิ้นกับพื้น
หรือทำร้ายตัวเองแสดงความอิจฉาเมื่อมีน้องใหม่เวลาเล่นสนุกๆก็จะแสดง
ความพอใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องเด็กก็จะกลัว พัฒนาการด้านสังคม -
เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีขึ้น อาบน้ำ แต่งตัว ใส่รองเท้าเอง
บอกเวลาจะถ่ายได้ ถอดกางเกง เข้าห้องน้ำเอง และทำความสะอาดหลังขับถ่ายได้
- เด็กเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตัว เพื่อให้สังคมยอมรับ ทำตัวให้เข้ากลุ่มได้
รู้จักให้ รับ รู้จักผ่อนปรน รู้จักแบ่งปัน เด็กเรียนรู้จากคำสอน
คำอธิบายและการกระทำของพ่อแม่ เด็กรู้สึกละอายใจเมื่อทำผิด
เด็กเริ่มรู้จักเห็นใจ ผู้อื่น เมื่อเห็นแม่เสียใจเด็กอาจเอาตุ๊กตามาปลอบ
เป็นต้น พ่อแม่ควรฝึกหัดและส่งเสริมให้เด็กวัยอนุบาลได้ช่วยเหลือตนเอง
เช่น รับประทานอาหาร อาบน้ำ แต่งตัว การขับถ่าย เป็นต้น
       
เด็กอายุ 1-5 ปี อาจติดสิ่งของบางอย่าง เช่น ผ้าห่ม ตุ๊กตา
เด็กจะนำสิ่งของเหล่านี้ติดตัวไปด้วยทุกแห่ง หรือเข้านอน ด้วยการนำมาอุ้ม
กอด และถือไว้ ใช้สำหรับปลอบใจ ทำให้รู้นึกมั่นใจและสบายใจ
โดยเฉพาะเวลาที่ต้องห่างจากแม่ เวลาไม่สบายหรือ เวลาเข้านอน
เพื่อทดแทนความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน
และเด็กก็เริ่มไปมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น สิ่งของเหล่านี้เรียกว่า
Trasitional – object
 
 การเลี้ยงดูที่เหมาะสมจะทำให้เด็กพัฒนาไปได้ดี ในขณะเดียวกัน
สังคมก็จะคาดหวังเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กในแต่ละวัย ซึ่ง เราเรียกว่า
งานพัฒนาการ (Deelopmental task)
ถ้าเด็กสามารถทำได้ตามขั้นตอนพัฒนาการเด็กจะยอมรับนับถือตนเอง ได้รับ
การยอมรับจากผู้อื่นและเด็กก็จะมีความสุขตามมา เมื่อเด็กมีความสุข
เด็กจะมีกำลังใจ มีแรงจูงใจในการทำงานตามที่มุ่งหวัง และ
สามารถทนต่อความขัดแย้งได้ดี ทำให้ประสบความสำเร็จตามมา
ถ้าเด็กไม่สามารถทำได้ตามขึ้นตอนพัฒนาการ เด็กจะรู้สึกเป็นปมด้อย
และจะทำงานในขั้นตอนพัฒนาการที่สูงขึ้นได้ยาก


วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพลงเด็ก7วัน7สี

นิทานเรื่องราชสีห์กับหนู

นิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง





นานมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีแม่และลูกสาวตัวเล็ก ๆ หน้าตาหน้า เอ็นดูมากคนหนึ่ง ที่ใคร ๆ ต่างก็จะเรียกเธอกันจนติดปากว่า


" หนูน้อย หมวกแดง" ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากด้วยเธอมักที่จะใส่หมวกที่เป็น แบบเสื้อคลุมติดกันสีแดงสด ซึ่งหมวกนี้ยายของเธอที่อยู่ในหมู่บ้านถัดไป ได้ถักให้กับเธอเป็นของขวัญ


ในวันเกิด และเธอก็ชอบมันมากมักจะใช้ ประจำติดตัวอยู่เสมอนั่นเอง หนูน้อยคนนี้เป็นเด็กหญิงที่น่ารัก จิตใจดี มีเมตตาต่อเพื่อน ๆ และสัตว์ ทั้งหลาย ดังนั้นเธอจึงเป็นที่รักยิ่งของทุกๆ คนและเพื่อน ๆ รวมทั้งสัตว์ ต่าง ๆ อีกด้วย






อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของหนูน้อยหมวกแดงได้เรียกหาเธอแต่เช้าแล้วบอกว่า " วันนี้ลูกต้องเอาอาหารซึ่งเป็นขนมพาย, และ เหล้าองุ่นไปให้คุณยายที่กำลังนอนป่วยอยู่นะจ๊ะ" หนูน้อยหมวกแดงรีบตอบรับทันที " ค่ะ" พลางฉวยตระกร้าจากมือของแม่ แล้วทำท่าจะเดินจากไป โดยมีแม่ร้องสำทับขึ้นตามหลังว่า " อย่าเถลไถลและแวะเล่นที่ไหนด้วยนะจ๊ะ ลูก เพราะคุณยายกำลังรออยู่ แล้วอีกอย่างหนึ่งลูกจะกลับบ้านมืดค่ำด้วย อันตรายจ้ะ ได้ยินไหม?" หนูน้อยหวกแดงรับคำอีกครั้ง "ค่ะ แม่" แล้วเธอก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของยาย ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกหมู่บ้านหนึ่งทันที






หมู่บ้านถัดไปที่คุณยายของเธออาศัยต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ทุ่งหญ้านั้นมีต้นอ้อปลิวไสวล้อเล่นลม และยังมีดอกไม้นานาพันธุ์ออกดอกบาน สะพรั่ง มีผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยบินไปมา อากาศหรือก็เย็นสบาย และในขณะ ที่หนูน้อยหมวกแดงกำลังเดินชื่นชมกับความงามของธรรมชาติสองข้างทาง ไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น ก็เกิดได้มีหมาป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเข้าพอดี มันหยุดชะงัก เพราะได้กลิ่นหอมของขนมพายจากตะกร้าของหนูน้อยหมวกแดงนั่นเอง


ฉับพลันมันคิดว่า "ฉันต้องการขนมพายที่อยู่ในตะกร้านั่น และรวมทั้งเจ้าของตะกร้านั่นด้วย" และไวเท่าความคิด มันรีบวิ่งไปดักหน้าหนูน้อยหมวกแดงเอาไว้ ตอนแรกหนูน้อยก็ ตกใจเพราะเคยได้ยินมาว่า หมาป่ามันชอบกัดเด็ก แต่ด้วยเธอเป็นเด็กที่เชื่อคนง่ายนั่นเอง เธอหยุดยิ้มหวานให้ ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงรีบพูดขึ้นว่า "อย่าตกใจไปเลย หนูน้อย ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ เท่านั้นจ้ะ แล้วนี่เธอจะไปไหนหรือ?" หมาป่าพูดพลางจ้อง ที่ตระกร้าขนมพายด้วยดวงตาเป็นมันวาวทีเดียว หนูน้อยหมวกแดงได้ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า " หนูกำลังจะไปบ้านยาย จะเอาขนมพายนี่ไปให้ยายที่กำลังนอนป่วยอยู่ค่ะ" มันแอบยิ้มอย่างเจ้าเลห์ ก่อนที่จะพูดอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เก็บดอกไม้พวกนี้ไปฝาก ยายด้วยละจ้ะสวย ๆ ทั้งนั้นเลย" แต่หนูน้อยหมวกแดงไม่ทันสังเกตและสงสัยอะไร เพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องดอกไม้พวกนี้อยู่ว่า "เก็บดอกไม้แค่นี้ คงไม่เสียเวลามากหรอกมั้ง แล้วที่สำคัญคุณยายก็คงจะชอบมากด้วย " คิดได้ดังนั้น หนูน้อยหมวกแดงจึงแวะเก็บดอกไม้ด้วยความเพลิดเพลิน....






ส่วนเจ้าหมาป่าเมื่อมันได้ยินว่ายายของหนูน้อยหมวกแดงกำลัง นอนป่วยอยู่เท่านั้น มันก็คิดเปลี่ยน


แผนการณ์ทันที


" เดี๋ยวไปกินยายของมันก่อนดีกว่า...เพราะมันบอกว่ายายของมันกำลังไม่สบาย จะต้องไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะต่อสู้เราได้ และเมื่อกินยายของมันแล้ว ทีนี้ก็ดักรอ แล้วกินอ้ายเด็กนี่ทีหลัง..ฮ่ะ ๆๆๆ " มันได้รีบวิ่งไปที่บ้านของคุณยายที่นอนป่วย อยู่ทันที และเมื่อมันมาถึงก็เคาะประตูร้องเรียกแถมทำเสียงเลียนแบบหนูน้อย หมวกแดง " ยาย...คุณยายจ๋า เปิดประตูให้หนูหน่อย นี่หนูน้อยหมวกแดง เองจ้า.. เปิดประตูให้หน่อย สิจ๊ะ..." คุณยายที่อยู่ในบ้านก็เชื่อสนิทว่าเป็นเสียง ของหลานจริง ๆเสียด้วย แต่พอคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาเปิดประตูเพื่อรับ หลานรักเข้าเท่านั้นเอง...






คุณยายก็เลยต้องโดนเจ้าหมาป่าที่มันคอยตั้งท่าจะกินอยู่แล้วนั้น...เขมือบเข้าปากไปเลยทีเดียวทั้งตัว โดยไม่ต้องเคี้ยวว่าอย่างนั้น .... คำเดียวจริง ๆ หายเข้าไปอยู่ในท้องของมันหมดทั้งตัวเลย และเมื่อมันกินคุณยายแล้ว เจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ก็จัดการสวมเสื้อผ้า สวมหมวก สวมแว่นตา ของคุณยายแล้วกระโดดขึ้นเตียง เอาผ้าห่มคลุมตัวของมันไว้ แล้วมันก็นอนรอหนูน้อยหมวกแดง ที่จะมาถึงอย่างใจเย็น " อ้ายเด็กบ้านั่นมันเชื่อคนง่าย จะต้องนึกว่าข้าคือยายของมันจริง ๆ อย่าง แน่นอน และเมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก็จับมันกินได้อย่างง่าย ๆ"






และเพียงไม่นาน เวลาที่มันรอคอยก็มาถึง เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น "ก๊อก ก๊อก ก๊อก"


ตามมาด้วยเสียงเรียกของหนูน้อยหมวกแดง "คุณยายคะ อยู่หรือเปล่าคะ" สักพักก็มีเสียงตอบกลับมาว่า "อยู่จ้ะหลาน ยายอยู่ในห้องนอน แน่ะ เข้ามาสิจ้ะ " หนูน้อยหมวกแดงจึงเดินเข้ามาที่เตียงของคุณยาย แล้ววางตระกร้าอาหารลง หนูน้อยหมวกแดงพนมมือไหว้คุณยายของเธอ ด้วยความเคารพและกล่าวว่า " สวัสดีค่ะ คุณยาย " คุณยายตัวปลอม หรือเจ้าหมาป่ายกมือรับไหว้หนูน้อยหมวกแดง แล้วหนูน้อยหมวกแดง ก็สังเกตเห็นแขนที่ยาว และเต็มไปด้วยขนยาว ๆ ของคุณยาย ก็ถามขึ้น ด้วยความสงสัยว่า " คุณยายขา ทำไมแขนของคุณยายถึงยาวแล้วก็มี ขนละคะ " เจ้าหมาป่าตอบว่า " ที่ขนของยายยาวแล้วก็มีขน ก็เพราะยาย เอาไว้กอดหลานให้ชื่นใจและหลานจะได้อุ่นหายหนาวด้วยไงจ๊ะ "






แล้วหนูน้อยหมวกแดงก็เห็นหูที่ยาวของคุณยายของเธอ ก็ถามขึ้นด้วยความ แปลกใจอีกว่า


" คุณยายขา ทำไมหูของคุณยายถึงยาวอย่างนั้นละคะ " เจ้าหมาป่าเริ่มจะหงุดหงิด จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักว่า


" ยายก็.. เอาไว้ฟังเสียงหลานให้ชัด ๆ นะสิ " แต่หนูน้อยหมวกแดงยังไม่คลาย ความสงสัย เมื่อเธอเหลือบไปเห็นเขี้ยวที่ยาวและคมวับของคุณยายของเธอ เธอเกิดความกลัวจึงค่อย ๆ ถอยออกและถามด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า


" ละ...แล้ว.. ทำไม ฟันกับปากของคุณยายถึงได้ยาวแล้วก็น่ากลัวอย่างนั้นละคะ" เจ้าหมาป่าหมดความอดทนเพียงแค่นั้น มันแยกเขี้ยวที่ขาวเป็นมันวับ ของมันแล้วตอบว่า


" ข้าก็เอาไว้กินเจ้าน่ะสิ เจ้าเด็กบ้า "






เมื่อเจ้าหมาป่าตัวร้ายพูดจบก็กระโจนออกมาจากผ้าห่ม พร้อมทั้งกับย่างสามขุม ตรงเข้าประชิดจนติดตัวของหนูน้อยหมวกแดงทันที แล้วพูดว่า " เหอ ๆๆๆ ที่ฟันกับปากมันยาวและใหญ่อย่างนี้น่ะ น้า..หนูน้อยหมวกแดงเอ๋ย ก็...เอาไว้กินเจ้าอย่างนี้ ยังไงเล่า เหอๆๆๆ " มัน หัวเราะเสียงดังลั่น แล้วตรงเข้าจับหนูน้อยหมวกแดง โยนใส่ปากแล้วกลืน ทีเดียวเข้าไปในท้องของมันคำเดียวจริง ๆ เหมือน ๆกับตอนที่กินคุณยายนั่นเลย " ฮ่า ๆๆ ช่างอร่อยเสียจริง ๆ ทั้งยายทั้งหลานเลย เหอๆๆๆ "






เจ้าหมาป่าด้วยความตระกระเกินตัวกินเข้าไปพร้อมกันทั้งยายและหลานเข้าอย่างนั้น มันจึงเกิดหนักท้องเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุทำให้มันเกิดความง่วงอยากนอนขึ้นมาในทันทีทันใด มันจึงล้มตัวลงนอน หลับสนิทแถมยังกรนเสียจนเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหว


" คร๊อก..ฟี่...คร๊อก...ฟี้ " ก้องไปจนทั่วทั้งป่าเลยทีเดียว และก็พอดีที่ในขณะนั้น เกิดได้ มีพรานป่าพร้อมกับสุนัขล่าเนื้อแสนรู้ตัวโปรดของเขา ที่เป็นเพื่อนบ้าน และรู้จักกับ คุณยายของหนูน้อยหมวกแดงเป็นอย่างดีผู้หนึ่งได้เดินทางผ่านมาแถว ๆ นั้นเข้าพอดี...






เมื่อพรานป่ากับสุนัขล่าเนื้อได้ยินเสียงกรนที่ดังสนั่นหวั่นไหวออกมาจากบ้าน ของคุณยาย เจ้าสุนัขล่าเนื้อก็เห่ากรรโชกขึ้นด้วยเสียงอันดัง " โฮ้ง ๆๆ " นายพรานป่า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเสียงกรนของคุณยาย แต่เมื่อเขาพยายามฟังดู ก็เกิดความสงสัย


" แต่..เอ๊ะ... เสียงน่ะมันดังออกมาจากบ้านคุณยายอย่างแน่นอน แต่ ! เสียงกรนนี่...มันไม่ใช่เสียง ของคุณยายแกนี่...เกิดอะไรหรือปล่าว


น่าสงสัยจัง?? " นายพรานป่าด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก จึงเดินเข้าไปที่ใกล้ ๆ แล้วแอบมองเข้าไปดูที่ข้างในบ้านทันที






ภายในบ้านไม่มีแม้แต่เงาของคุณยายเลยสักนิด แต่กลับมีหมาป่าตัวหนึ่ง กำลังนอนพุงกาง และที่สำคัญที่ท้องของมันนั้นก็ใหญ่โตจนผิดปกติเสียด้วย " โอ๊ะ อะไรกันนั่น มีแต่หมาป่านอนกรนอยู่ตัวเดียว แล้วที่ท้องของมันนั่น !...ก็..ทำไมถึงได้ใหญ่ มากมายอย่างนั้นด้วยเล่านี่ โอ้ ๆๆ สงสัยอ้ายหมาป่ามันคงต้องกินคุณยายเข้าไปแล้ว อย่างแน่นอน... แย่แล้ว" แล้วเมื่อพรานป่าพยายามเงี่ยหูฟังดูให้ถนัด ๆ อีกครั้ง เขาก็ พลันได้ยินเสียงที่แทรกออกมาแบบแผ่วๆ ปนกับเสียงกรนที่ดังสนั่นหวั่นไหวนั้น อีกด้วยว่า


" ช่วยด้วย ช่วยด้วย " ใช่แล้วมันเป็นเสียงร้องของคุณยายกับเสียง ของหนูน้อยหมวกแดงที่พยายามร้องเรียกให้ใครมาช่วยอยู่ในท้องของเจ้าหมาป่า.... นั่นเอง






นายพรานป่าฟังจนแน่ชัดแล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน เขารีบผ่าท้องของเจ้าหมาป่า ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างไม่รู้ตัว ตัวนั้นทันทีทันใด....จึงเป็นด้วยการดังนี้นี่เอง ที่นาย พรานป่าสามารถช่วยเหลือให้คุณยายและหนูน้อยหมวกแดง ออกมาจากท้องของเจ้าหมาป่า ได้อย่างทันการและปลอดภัย หนูน้อยหมวกแดงเมื่อออกมาจากท้องของหมาป่าได้ ก็รีบพูดขอบคุณนายพรานผู้นั้นเป็นการใหญ่ทีเดียว


" ขอบคุณ ท่านพรานป่าที่ มาช่วยไว้ได้ทันการ ขอบคุณอย่างมากค่ะ "






ส่วนคุณยายนั้น เมื่อหายตกใจแล้วก็รีบพูดขึ้นกลางครันว่า " หลานน้อยหมวกแดง รีบไปเก็บก้อนหิน มามากๆ เลยหลานรัก เร็ว.. เจ้าหมาป่ามันยังคงหลับไม่รู้ตัวอยู่ ไปเอาหินมาใส่ลงไปในท้องของมันนี่ เร็ว ๆๆ " และเมื่อได้ก้อนหินมาแล้ว คุณยาย ก็จัดการใส่ก้อนหินมากมายเหล่านั้นลงไปในท้องของเจ้าหมาป่าทั้งหมด เสร็จแล้ว คุณยายก็เอาเข็มมาเย็บลงไปที่ท้องของเจ้าหมาป่าอย่างแน่นหนาจนเข้าที่อย่างเดิม แล้วทั้งสามก็มาแอบดูเหตุการณ์กันอยู่ที่หลังต้นไม้นอกบ้านอย่างเงียบเชียบ...






ส่วนเจ้าหมาป่าเมื่อนอนหลับเต็มที่แล้ว มันตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย " ว้า ๆๆ ทำไมข้าถึง ได้รู้สึกคอแห้งและหิวน้ำมากมายอย่างนี้นะ " และด้วยความที่มันกระหายเป็นอย่างมาก นั่นเองมันเดินแบบงัวเงียเอามือป้องปากหาวหวอด ๆ เดินออกมานอกบ้านเพื่อหมาย จะไปดื่มน้ำที่บ่อน้ำบาดาลที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้นเอง มันเดินเซไปเซมาด้วยความหนัก ของหินที่อยู่ในท้องของมันอย่างไม่รู้ตัว แล้วยังบ่นไปด้วยว่า " อ๋อย.. อ้อย...ทำไม ท้องของข้าถึงได้หนักมากมายอย่างนี้เล่า เอ้อ..จะก้าวขาแต่ละทีละก็..ลำบากจัง " หนูน้อย หมวกแดงที่แอบอยู่ที่ใกล้ ๆ กันนั้น ก็ตอบแบบเสียงแผ่ว ๆ ทำเสียงให้เหมือนกับดัง ลอดออกมาจากท้องของเจ้าหมาป่ามันว่า


" ก็กินเข้าไปตั้งสองคน ก็ต้องหนักน่ะสิ "






เจ้าหมาป่าเมื่อได้ยินเสียงบอกมาว่าอย่างนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย " อ้อ..จริงสิ ก็กินเข้าไปตั้ง สองคนทั้งยาย ทั้งหลาน มันก็ต้องหนักอย่างนี้ละ ฮ่า ๆๆ " ด้วยเจ้าหมาป่ามันไม่ทันคิดถึง หรือรู้ตัวว่าหนูน้อยหมวกแดง และคุณยายนั้นได้ออกมาจากท้องของมันได้แต่นมแต่นานแล้ว นั่นเอง มันจึงไม่คิดสงสัยอะไร และพยายามเดินไปจนถึงที่ตรงปากบ่อน้ำบาดาลนั้นจนได้ และเมื่อมาถึงปากบ่อแล้ว มันก็รีบปีนขึ้นไปบนปากบ่อแล้วก้มหัวลงไปหมายจะดื่มน้ำให้หาย กระหาย แต่เป็นด้วยที่ว่าในท้อง ของมันนั้นมีก้อนหินอยู่อย่างมากมาย และด้วยความหนัก มันจึงเสียหลักหัวทิ่มลงไปในบ่อน้ำบาดาลนั้นอย่างไม่เป็นท่า และได้จบชีวิต ชั่ว ๆ ของมันใน บ่อน้ำบาดาลนั้นเลย...






และเมื่อเป็นดังนั้น ทั้งสามคือคุณยาย พรานป่าและหนูน้อยหมวกแดง จึงด้วย ความดีใจที่สามารถปราบหมาป่าตัวร้ายลงได้ ก็ได้จัดการ นำเอาขนมพายและ เหล้าองุ่นที่หนูน้อยหมวกแดงนำมาเยี่ยมไข้ให้กับคุณยายพวกนั้น ออกมา เลี้ยงฉลองความดีใจที่พ้นภัยร้ายมาได้อย่างหวุดหวิด แล้วในขณะที่กำลังสังสรรย์ กันอยู่เพลิน ๆ นั้น หนูน้อยหมวกแดงก็นึกขึ้นมาได้ถึง สิ่งที่เธอถูกใช้ให้มาทำธุระ จึงพูดถามคุณยายว่า


" อ๊ะ..คุณแม่บอกว่าคุณยายไม่สบายอยู่นี่คะ แล้วอาการเป็นยังไง บ้างล่ะคะ " คุณ ยายได้ตอบหนูน้อยหมวกแดงอย่างอาย ๆ ว่า


" เมื่อตะกี๊ ต้องตกใจ อย่างมากมายขนาดนั้นเข้าน่ะสิ...ไข้ที่เป็นอยู่เลยหายหมดเลยจ๊ะหลานรัก อิ ๆๆๆ " เมื่อคุณยายพูดจบทั้งสามก็หัวเราะขึ้นจนเกือบจะพร้อมกันเลยทีเดียวเชียว........






เมื่องานสังสรรจบลงและทั้งหมดก็อิ่มหนำสำราญกันแล้ว คุณยายได้บอกกับ หนูน้อยหมวกแดงหลานรักว่า " นี่จ๊ะ ขนมคุ๊กกี้กับลูก สเตอร์เบอร์รี่ เป็นของ ตอบแทนที่เธอมาเยี่ยมไข้ให้กับยาย แล้วนี่ก็ได้เวลาที่เธอจะต้องกลับไปบ้าน ของเธอแล้วด้วย นะจ๊ะหลานรัก " ส่วนคุณลุงนายพรานป่านั้นก็ได้ของขวัญ ติดมือกลับไปด้วยเหมือนกันคือ


" หนังของเจ้าหมาป่าตัวร้าย " นั่นเอง แล้วทั้งสองก็เดินทางแยกย้ายกันกลับไปตามที่อยู่อาศัยของตน อย่างสำราญบานใจด้วยกัน ทั้งสองคนว่าอย่างนั้น...






และเมื่อหนูน้อยหมวกแดงของเรากลับมาถึงที่บ้านของเธอแล้ว ก็ได้รีบเล่าเรื่อง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่บ้านของคุณยาย ให้กับคุณแม่ของเธอฟัง และได้สัญญากับคุณแม่ของเธอว่า


" ต่อแต่นี้ไปเมื่อคุณแม่ใช้ให้ไปทำธุระ จะไม่เถรไถรเที่ยวแวะเล่นที่ ตรงไหน...แล้วก็จะไม่ ไว้ใจและพูดคุยกับใครที่เป็นคนแปลกหน้าเป็นอันขาด "






ค่ะ..บทเรียนที่แสนอันตรายอันนี้ ก็คิดว่าหนูน้อยหมวกแดง เธอคงจะต้องเข็ด และจำจนขึ้นใจไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอนเลยนะคะ...






คติที่สอนให้รู้ว่า...ของนิทานเรื่องนี้ก็คงมีอยู่ที่ว่า


"อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"

















เด็กกับอินเตอร์เน็ต










มีการคาดการณ์จากองค์กรเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ ถึงจำนวนเด็กที่เล่นอิน-เทอร์เน็ต ใน ปี 2005 จะเพิ่มจำนวนเป็น 77 ล้านคน ในจำนวนนี้คาดว่าเป็นเด็กไทยประมาณ 3 แสนคน




นับว่าเป็นเรื่องดีที่เด็กหันมาใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารและค้นคว้า เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์สู่เทคโนโลยี แต่อีกนัยหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอินเทอร์เน็ตยังคงเป็นดาบสองคมที่พร้อมจะส่งผลร้ายต่อผู้เล่นได้ หากการก้าวเข้าหานวัตกรรมล้ำยุคนี้ ขาดความเข้าใจที่ดีพอ โดยเฉพาะกับเด็ก วัยแห่งความอยากรู้อยากเห็น ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาแล้วที่สหรัฐอเมริกา




แซมอายุ 14 ปี เพิ่งเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตได้ไม่นานก็ไปรู้จักกับเด็บบี้ในแชทรูม เด็บบี้บอกว่าอายุเท่าแซม ทั้งสองติดต่อกันอยู่นานจนเริ่มชอบพอกัน และวันหนึ่งก็ชวนกันออกเดท โดยเด็บบี้บอกแซมว่าไม่ต้องบอกพ่อแม่ แซมได้รู้ในวันนั้นว่าเด็บบี้ที่คุยกับเขา ที่แท้เป็นชายสูงวัย และวันนั้นเองแซมก็ถูกข่มขืนโดยชายคนนั้น




เรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นเพราะพ่อแม่ของแซมสังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกที่เปลี่ยนไป และถามความจริง จนรู้ว่า ลูกตัวเองถูกข่มขืน จึงได้แจ้งจับชายคนนั้น ตำรวจใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะเจอชายคนดังกล่าว และได้พบหลักฐานทั้งรูปภาพเด็กชาย ที่แสดงให้เห็นว่าชายคนดังกล่าวเป็นพวก "รักเด็กชาย"




เรื่องไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นไม่นานแซมกลายเป็นเด็กเก็บกด และเรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งมีเด็กชายอายุ 13 ปีคนหนึ่ง ผ่านมาขายของหน้าบ้านแซม แซมไม่ได้ซื้อของแต่พยายามบังคับข่มขืนเด็กชายคนนั้น แต่เด็กคนนั้นขัดขืน แซมเลยตัดสินใจฆ่า และนำศพไปทิ้งหลังบ้าน และตำรวจตามมาพบในที่สุด จึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต และทำให้สหรัฐหันกลับมาพูดคุยเรื่องอินเทอร์เน็ตกับเด็กมากขึ้น


อินเทอร์เน็ตอันตรายต่อเด็กอย่างไร




ภาพความรุนแรงระหว่างเด็กกับอินเทอร์เน็ตในบ้านเราอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้งหลาย หากแต่พิจารณาตามศักยภาพและตัวเลขการใช้อินเทอร์เน็ต หรือการเปิดบริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เติบโตขึ้นเรื่อยมา ทำให้หลายคนอดเป็นห่วงอันตรายจากอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก




จากประสบการณ์การทำงานด้านอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ เจ้าหน้าที่ข้อมูลและสื่อสาร มูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาทางเพศจากเด็ก (เอ็กแพค) ให้ข้อมูลว่า พบอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นกับเด็กซึ่งเล่นอินเทอร์เน็ตในหลายรูปแบบ




อย่างแรกคือภาพหรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก นอกเหนือจากเวบลามกแล้ว ยังมีเวบที่มีข้อมูลที่มีนัยทางสังคม เช่น เวบที่สนับสนุนให้ก่อความรุนแรง หรือเวบที่กล่าวถึงการเหยียดสีผิว เวบที่กล่าวถึงยาเสพย์ติด หรือเวบที่สอนทำระเบิดขวด เวบเหล่านี้อาจส่งผลต่อความคิดของเด็ก และส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กในอนาคต




เช่นกรณีของเด็กในยุโรปเจอเวบไซต์ที่เกี่ยวกับการทำระเบิดขวดแล้วลองทำด้วยตัวเองโดยที่พ่อแม่ไม่ทราบ แล้วนำไปโยนเล่น จนเกิดเป็นเหตุสลดใจ ซึ่งในที่สุดเด็กสารภาพว่านำความรู้มาจากอินเทอร์เน็ต




เมื่อเด็กไปเจอกับเวบไซต์ที่ไม่เหมาะสม จึงเป็นเหมือนสะพานนำเด็กไปพบกับบุคคลที่ไม่หวังดีได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีของการเล่นแชท เด็กอาจถูกล่อลวงจากผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติทางจิต หรือเป็นพวกนิยมมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอย่างกรณีตัวอย่างของแซมเป็นต้น ซึ่งไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นกับบ้านเราในวันหนึ่งข้างหน้า




อันตรายในลำดับถัดมายังพบว่า เด็กในปัจจุบันใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากเกินไป ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรงแล้ว ยังเป็นการลดความสัมพันธ์กับสังคมในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว เด็กจะหันไปสร้างความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า เป็นความรู้สึกแบบฉาบฉวย และทำให้เด็กไม่กล้าสื่อสารโดยการพูด สังเกตได้ง่ายๆ ถ้าเด็กพูดน้อยลง


แล้วจะปกป้องอย่างไร




การออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะสกัดกั้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก โดย "เนคเทค" หรือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ พยายามออกกฎหมายออกมาหลายฉบับ แต่ส่วนใหญ่เน้นที่การปกป้องธุรกิจอินเทอร์เน็ตมากกว่า




นอกจากนี้ ยังพยายามเพิ่มเติมโทษในกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจาร จากเดิมที่เอาผิดเฉพาะผู้จำหน่ายเท่านั้น ก็เอาผิดเพิ่มเติมกับคนที่มีสื่อลามกไว้ในครอบครองด้วย โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตซึ่งเด็กคงต้องมีการพูดคุยกันอย่างจริงจังมากขึ้น




"กฎหมายนี้เอื้อประโยชน์กับการละเมิดสิทธิเด็กในเวลาเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาเราจับเฉพาะผู้ขายแต่ตอนนี้ผู้ที่ซื้อหรือคนที่มีไว้ในครอบครองด้วย ซึ่งรวมถึงภาพลามกบนอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน"




อย่างไรก็ตาม การตามจับกุมผู้กระทำผิดทางอินเทอร์เน็ตตามจับกุมได้ยากมาก เพราะไม่สามารถทราบได้เลยว่าคนที่เป็นเจ้าของอยู่ที่ใด และอาจใช้เซิร์ฟเวอร์จากเมืองนอกได้ การหวังพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจสกัดกั้นได้




ในด้านเทคนิค จิตราภรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้มีซอฟต์แวร์ เรียกว่าFiltering Software ทำหน้าที่กลั่นกรองเวบไซต์ ตลอดจนภาพที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยนำไปติดไว้กับคอมพิวเตอร์ เด็กก็ไม่สามารถเข้าไปดูเวบเหล่านั้นได้




นอกจากเหนือจากการป้องกันในระดับนโยบาย จิตราภรณ์เสนอว่า จำเป็นต้องมีความร่วมมือกันในระดับภาคธุรกิจอินเทอร์เน็ตเช่นกัน เพราะภาคธุรกิจเป็นตัวจักรสำคัญที่สร้างกระแสการใช้อินเทอร์เน็ตให้เข้ามาสู่กลุ่มเด็กมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากแผนการตลาดของบางบริษัทที่ขยายเข้าไปสู่กลุ่มเด็ก คำถามคือ ภาคธุรกิจคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กอย่างไรบ้าง




มีตัวอย่างความพยายามประสานความร่วมมือกันของกลุ่มไอเอสพี เรื่องการกลั่นกรองคำพูดหรือรูปภาพที่ไม่เหมาะสม จากรายการทางยุโรปมีการรวมตัวกันของกลุ่มไอเอสพียุโรป โดยใช้ชื่อว่า Euro ISPA ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของไอเอสพีทั่วยุโรป 500 แห่ง ร่วมกันทำร่างกฎหมาย คล้ายกับจรรยาบรรณ ซึ่งมีข้อตกลงหลายๆ อย่างที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก




โดยจะมีเวบตักเตือนหรือสัญญาเตือนหากมีเวบไม่เหมาะสมปรากฏขึ้น และออกข้อตกลงสำหรับตรวจสอบการทำงานของไอเอสพีด้วยกัน หากไอเอสพีใดไม่ปฏิบัติตามก็อาจจะมีการลงโทษ ซึ่งจิตราภรณ์มองว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในเมืองไทย




เรื่องการเพิ่มโทษตามกฎหมาย รวมถึงการขอร้องจากไอเอสพีเอง เป็นการลดทอนอันตรายจากอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเท่านั้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หากเด็กยังขาดความรู้และความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ย่อมมีสิทธิ์พลาดพลั้งให้กับคนที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต




ดังนั้น การให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรจะทำให้เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อคิดจะท่องโลกอินเทอร์เน็ต




ในนิวซีแลนด์มีแคมเปญรณรงค์เพื่อให้ความรู้กับเด็ก โดยพยายามสร้างความเข้าใจในอันตรายเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งสอนในห้องเรียน และเผยแพร่ตามสื่อทั่วไป นอกจากนี้ยังเลยไปถึงกลุ่มคนรอบข้างอย่างพ่อแม่ ที่พร้อมจะอธิบายให้เด็กรู้ถึงอันตรายด้วยเช่นกัน




นอกจากนี้ยังออกเป็นข้อห้ามให้เด็กท่องก่อนการใช้อินเทอร์เน็ต เช่น ห้ามบอกชื่อที่อยู่หรือข้อมูลของตัวเด็กให้กับคนในแชท นอกจากขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อน ห้ามให้เบอร์บัตรเครดิต หรือเลขที่บัญชีเงินฝาก ห้ามให้พาสเวิร์ด ห้ามโต้ตอบกับข้อความหยาบคาย และที่สำคัญห้ามไปพบกับคนที่นัดหมายมาจากการแชท เป็นต้น




สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องห้ามเด็กเพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ไม่เคยเล่นอินเทอร์เน็ต เชื่อว่าสิ่งที่คู่สนทนาบอกนั้นเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นกรณีของแซม ดูเหมือนว่าทางป้องกันทางใด ก็ไม่น่าจะมีประสิทธิภาพ เท่ากับการเอาใจใส่ของครอบครัว หรือครู เพราะไม่ว่าเด็กจะไปเจอกับอะไรบนอินเทอร์เน็ต เด็กก็ยังรู้ว่ามีคนที่เขาจะขอคำปรึกษาได้


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

เพลงแม่ไก่ใจดี

บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม