แคท น่ารักจัง

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

                       ฝูงนกกับแรดใจร้าย
             
      นานมาแล้วในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนกจำนวนมากมาอาศัยสร้างรังกันอยู่บนต้นไม้ นกหลายชนิดที่อาศัย ณ ทีนี้มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ 
  จนในวันหนึ่ง มีแรดตัวหนึ่งเดินเข้ามาในป่าแถบนั้น มันเห็นว่ามีนกมากมายอาศัยอยู่บนต้นไม้ แรดผู้กำลังหิว จึงเอานอของมันกระแทกไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง จนรังของนกสีเขียวที่อยู่บนต้นไม้นั้นตกลงมา จากนั้นมันจึงกินลูกนกตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในรังนั้น แม่นกสีเขียวโกรธมาก แต่มันไม่สามารถทำอะไรแรดตัวนั้นได้ เมื่ออิ่มจากการกินลูกนกแล้ว แรดก็เดินจากไป บรรดานกทั้งหมดจึงพร้อมใจกันมาประชุมหารือกัน นกสีแดงออกความเห็นว่า

          "แรดตัวนี้จะต้องหวนกลับมาอีกแน่นอน พวกเราต้องร่วมมือกันขับไล่มันไป" 
          แต่นกสีเขียวแย้งว่า "ไม่เอาหรอก แรดตัวนั้นใหญ่โตและแข็งแรงนัก"
          "ใช่ ๆ พวกเราคงทำอะไรมันไม่ได้หรอก" นกสีเหลืองเห็นด้วย 

        
          วันรุ่งขึ้น แรดตัวเดิมก็กลับมาอีก คราวนี้มันเอานอของมันชนกระแทกไปยังต้นไม้ที่นกสีเหลืองอาศัยอยู่ ทำให้รังของนกสีเหลืองตกลงมา จากนั้นมันจึงวิ่งชนต้นไม้อื่น ๆ อีกหลายต้น ลูกนกและไข่ในรังที่ร่วงหล่นลงมาล้วนตกเป็นอาหารของแรดจนหมดสิ้น บรรดาพ่อแม่นกต่างพากันเสียใจ ที่ไม่คิดหาทางรับมือกับแรดตัวนี้ไว้เสียแต่แรก ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของนกสีแดงที่เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้ว กลับมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย
เกมส์พื้นบ้านของไทย (สำหรับเด็ก)

วิ่งเปรี้ยว
ผู้ เล่นมีจำนวนตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป โดยจะแบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายเท่าๆกันสถานที่เล่นมักจะใช้ลานกว้าง และมีต้นไม้สองต้นเป็นหลักแข่งกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายจะต้องจัดแถวประจำที่หลักของตนเองเมื่อเริ่มเล่นคนที่อยู่หัว แถวต้องวิ่งไปอ้อมหลักของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นวกกลับมาส่งผ้าให้ผู้เล่นถัดไปที่หลักของตน เป็นคนวิ่งต่อไป ผู้เล่นของแต่ละฝ่ายต้องพยายามวิ่งกวดและใช้ผ้าไล่ตีฝ่ายตรงข้ามให้ทัน หากฝ่ายใดไล่ตีได้ทันถือว่าเป็นผู้ชนะ
ม้าก้านกล้วย
คนไทยรู้จักธรรมชาติและสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี เมื่อตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้านก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใช้และรักษาธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมอย่างชาญฉลาดเด็กไทยก็ดัดแปลงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาทำเป็นของเล่นได้อย่างเหมาะสมและสนุกสนาน
           ม้าก้านกล้วยเป็นของเล่นที่เด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยซุกซนชื่นชอบมากเด็กไทยทั่วไปจะรู้จักการเล่นม้าก้านกล้วยเป็นอย่างดี
           วิธีทำม้าก้านกล้วย ทำง่าย เด็กๆสามารถทำเล่นเองได้ ถ้าอยากเล่นม้าก้านกล้วย เด็กๆก็จะถือมีดเข้าไปในสวนหรือที่ทั่วไปตามบริเวณบ้านที่มีต้นกล้วย เพราะหมู่บ้านคนไทยจะปลูกต้นกล้วยไว้แทบทุกหลังคาเรือน
เมื่อเลือกใบกล้วยที่มีความยาวพอเหมาะ ก็จะตัดใบกล้วยมา เอามีดเลาะเอาใบกล้วยออก เหลือไว้ที่ปลายใบเล็กน้อยเพื่อให้เป็นหางม้า ที่ก้านด้านโคนจะมีขนาดใหญ่เกือบเท่าข้อมือของเด็กๆ ด้านนี้เอง เด็กๆจะกะความยาวประมาณหนึ่งคืบ หรือสองคืบ แล้วเอามีดฝานแฉลบด้านข้างของก้านตรงที่กะไว้ฝานบางๆไปทางด้านโคนทั้งสองข้าง เพื่อให้เป็นหูม้า พอได้ขนาดหูยาวตามต้องการแล้วก็เอามือหักก้านกล้วยตรงที่กะจะให้เป็นโคนหูม้า ก้านกล้วยก็จะกลายเป็นรูปม้ามีหูม้าชันขึ้นทั้งสองข้าง เสร็จแล้วก็เอาแขนงไม้ใผ่มาเสี้ยมปลายให้แหลม ความยาวประมาณคืบเศษ เสียบหัวม้าที่พับเอาไว้ เสียบทะลุไปที่ก้าน ไม้ที่เสียบก็จะมีลักษณะเหมือนสายบังเหียนที่ผูกปากม้ากับคอม้า เสร็จแล้วก็ทำเชือกกล้วยมาผูกด้านหัวม้าและหางม้า ทำเป็นสายสะพายบ่าแค่นี้ก็เสร็จ หาแขนงไม้ไผ่มา ๑ อันทำเป็นแส้ขี่ม้าตอนนี้ก็พร้อมที่จะเล่นม้าก้านกล้วยได้แล้ว
การเล่นม้าก้านกล้วยก็แล้วแต่เด็กๆจะคิดเล่น เช่น เล่นควบม้าวิ่งแข่งกันหาคนชนะ ควบม้าจัดกระบวนทัพต่อสู้กัน หาอาวุธตามรั้วคือแขนงไม้ไผ่มาทำเป็นดาบรบกัน หรือจะวิ่งแข่งกันเป็นคู่ๆ หากไม่มีเพื่อนก็ควบเล่นคนเดียวที่ลานบ้านหรือเลี้ยวไปตามป่ากล้ายในสวนก็ได้
             ม้าก้านกล้วย นอกจากเด็กๆจะทำเล่นได้เอง วัสดุก็หาง่าย วิธีเล่นก็ฝึกความคิด ฝึกการเล่นเป็นหมู่คณะมีผู้นำ ผู้ตาม วิธีเล่นก็เหมาะกับเด็กๆ ได้ออกกำลังกาย ได้เคลื่อนไหวเหมาะแก่วัยของเด็กๆ ม้าก้านกล้วยเป็นการละเล่นที่ง่ายและมีประโยชน์และเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ น่าสนใจอย่างยิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ห่านกับนกกระสา


นิทาน - ห่านกับนกกระสา


           ที่ริมหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นที่อาศัยของห่านและนกกระสา ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน และมักออกหากินด้วยกันเสมอ วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลียบหนองน้ำอยู่ มีนกกระยางตัวหนึ่งบินผ่านมา "นี่แน่ะเพื่อน ตรงโน้นมีหนองน้ำอีกแห่งหนึ่งที่นั่นมีกุ้ง หอย ปู ปลา เยอะแยะเชียว" นกกระยางบอก นกกระสาและห่านจึงพากันบินไปยังหนองน้ำตามคำบอกเล่าของนกกระยาง ที่หนองน้ำแห่งนั้นมีอาหารอุดมสมบูรณ์จริงตามที่นกกระยางพูด ห่านนั้นกินอาหารมากจนพุงกางในขณะที่นกกระสากินพออิ่ม

           "นาน ๆ ถึงจะพบแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์อย่างนี้ ทำไมท่านถึงกินเพียงนิดเดียวล่ะ" ห่านถาม " ข้าอิ่มแล้ว ถ้ากินมากเกินไป ข้ากลัวว่าจะบินกลับไม่ไหว" นกกระสาตอบ "แต่ข้ายังกินได้อีกเยอะ" ห่านพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

           ขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นนกทั้งสองเข้า นายพรานจึงยกธนูขึ้นเล็งไปที่นกสองตัวนั้นทันที นกกระสาบังเอิญเหลือบมาเห็นนายพรานเข้าพอดี จึงร้องเตือนห่านก่อนที่ตัวเองจะรีบบินหนีไป ห่านซึ่งกินอาหารมากเกินไปจนบินหนีไม่ไหว มันจึงถูกนายพรานยิงตายในที่สุด

สิงโตกับหมูป่า

นิทาน -  สิงโตกับหมูป่า

โดย : คุณครูเบญจมาศ อยู่เชื้อ
โรงเรียนศรีนคร อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย

          อากาศที่ร้อนจัดของวันหนึ่งในฤดูร้อน ทำให้สัตว์ทั้งหลายรู้สึกกระหายน้ำไปตาม ๆ กัน สิงโตตัวนี้ก็เช่นกัน มันกำลังเดินออกไปหาน้ำดื่ม สิงโตเดินตรงไปยังบ่อน้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เวลานั้นมีหมูป่าที่กำลังหิวน้ำตัวหนึ่งเดินตรงมาที่บ่อน้ำแห่งนี้ ด้วยเช่นกัน สิงโตและหมูป่าจึงประจันหน้ากันที่ข้างบ่อน้ำนั้น ทั้งคู่ต่างต้องการที่จะเป็นผู้ที่ได้ดื่มน้ำก่อน จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น สัตว์ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน

          สิงโตและหมูป่า ต่างก็ต่อสู้กันอย่างไม่ลดละจนหมดเรี่ยวแรงด้วยกันทั้งคู่ และก่อนที่พวกมันจะลงมือต่อสู้กันอีก ทั้งสองก็เหลือบไปเห็นนกแร้งกลุ่มหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และพากันจ้องมองมายังพวกมันอยู่ สิงโตจึงหันมาพูดกับหมูป่าว่า "ข้าว่าเราเลิกต่อสู้กันเถอะ" "เพราะไม่เช่นนั้น เราทั้งสองอาจกลายเป็นอาหารของเจ้าแร้งพวกนั้นได้" หมูป่าเห็นด้วยจึงตอบตกลงในทันที จากนั้นสิงโตก็บอกให้หมูป่าดื่มน้ำก่อน และเมื่อทั้งคู่ดื่มน้ำจนพอใจแล้ว จึงเดินแยกจากกันไปด้วย

เต่ากับงู (KARN.TV)



             ในกาลครั้งหนึ่งหลายร้อยปีผ่านมาแล้ว มีเต่าและงูอาศัยอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งเต่าและงูต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน เนื่องจากต่างก็แย่งกันเป็นใหญ่ ต้องการจะเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้
             งูพยายามอยู่เสมอที่จะฉกเต่าให้ตาย แต่เต่าก็จะรีบหดหัว หดขาเข้ากระดองไปทุกครั้ง งูจึงได้แต่ฉกกัดกระดองที่แข็ง ซึ่งไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้แก่เต่าเลย เต่าจึงหัวเราะเสียงดัง ฮ่า ๆๆ แล้วกล่าวว่า

นิทาน

             "เห็นไหม ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้ ข้าเป็นราชาแห่งลุ่มน้ำนี้  ฮ่าๆๆ"
            

             งูโกรธมากจึงถามขึ้นว่า "ท่านทำอย่างไรจึงได้แข็งแรงอย่างนี้"

             เต่าตอบว่า "ข้าแข็งแรง เพื่อน ๆ ของข้าก็แข็งแรง ทั้งนี้เพราะพวกเราต้องตัดศีรษะของพวกเรา ในเวลากลางคืนทุกวัน"

             "เอ๊ะ น่าสนใจดีนี่ ถ้าข้าจะชวนเพื่อน ๆ มาดูด้วยท่านจะแสดงการตัดศีรษะให้พวกข้าดูด้วยได้ไหม"

             "อ๋อ ได้ซิ" เต่าตอบตกลง

นิทาน

             ดังนั้น ทั้งงูและเต่าต่างก็ชวนเพื่อนฝูงและครอบครัวมากันอย่างมากมาย พวกเต่าจะอยู่ที่ฝั่งด้านหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนงูนั้นคอยเฝ้าดูอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เต่าตัวแรกจะถือท่อนไม้แข็งไว้ และแสดงท่าเหมือนกำลังจะตัดศีรษะเต่าอีกตัว ส่วนเต่าตัวอื่น ๆ ก็ทำตาม แต่พวกเต่าไม่ได้ ตัดศีรษะจริง ๆ เพียงแต่พวกมันหดศีรษะเข้าไปในกระดองเท่านั้น

             พวกงูทั้งหลายหลงเชื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าสนใจ ดังนั้นในตอนสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น มันจึงเดินทางมาหาเต่าแล้วพูดว่า "พวกข้าต้องการตัดศีรษะทุก ๆ คืน จะได้แข็งแรงอย่างพวกท่าน แต่พวกเราไม่มีมือ ไม่มีเท้า จึงอยากให้พวกท่านช่วย"


             "อ๋อ ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง" เต่ารีบอาสาทันทีพร้อมยิ้มอยู่ในใจ

             พอตกกลางคืน เต่าทุก ๆ ตัว ต่างก็ถือท่อนไม้แข็งไว้ และใช้ท่อนไม้นี้ ตัดศีรษะของงูทุก ๆ ตัว แต่งูไม่มีกระดองที่จะหดศีรษะไว้ข้างในได้ ดังนั้นงูจึงถูกเต่าใช้ท่อนไม้แข็งตีศีรษะจนตายทุกตัว    

             เมื่อพวกงูตายหมดแล้ว พวกเต่าก็ได้เป็นใหญ่ เต่าตัวที่เป็นเจ้าของความคิดก็กลายเป็นราชา แห่งลุ่มน้ำนี้อย่างไม่มีคู่แข่งตลอดไป

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

การเรียนรู้

มีหลายสิ่งที่คุณแม่สามารถช่วยให้ลูกน้อยเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ แม้ว่าลูกจะยังพูดโต้ตอบไม่ได้ แต่คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อยๆ และส่งยิ้มให้ลูก จะช่วยให้ลูกพูดได้เร็วขึ้น  เมื่อถึงมื้ออาหาร คุณแม่อาจจัดเตรียมข้าว ไข่หรือปลาและผักใส่จานพลาสติกสำหรับเด็ก และเปิดโอกาสให้ลูกได้รับประทานเองเพื่อฝึกการใช้มือและนิ้ว รับรองว่าลูกน้อยจะสนุกกับการรับประทานอาหารอย่างแน่นอน  เวลาอาบน้ำจะยิ่งเป็นเวลาสนุกสนานมากขึ้นสำหรับลูกน้อย เพราะลูกจะได้เรียนรู้ว่าร่างกายที่เคลื่อนไหวอาจทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น เช่น การตีน้ำในอ่างดังจ๋อมแจ๋ม และคุณแม่อย่าลืมแขวนผ้าเช็ดตัวหรือผ้าอ้อมไว้ใกล้มือด้วย
 

ริ่มหัดเปล่งเสียง

ช่วง 4 – 6 เดือนเป็นช่วงเวลาแสนวิเศษเพราะลูกน้อยจะเริ่มออกเสียงแบบต่างๆ จะมีเสียงโน้นเสียงนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่หนูน้อยออกเสียงอืออาและเล่นเสียง ในบางครั้งคุณอาจเริ่มได้ยินเสียงเบาๆ คล้ายๆ คำว่า “แม่” หรือ “พ่อ” แต่คุณแม่คงต้องรอระยะหนึ่งกว่าลูกน้อยจะรู้จักเรียก “แม่” อย่างแท้จริง เพราะในเวลานี้ ลูกเพียงฝึกออกเสียงแบบต่างๆ เท่านั้น  เสียงสวรรค์ที่คุณแม่ได้ยินเป็นครั้งแรกก็คือ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนาน ลองเล่นจั๊กจี๋เบาๆ กับลูกดูสิ แม่กับลูกจะได้หัวเราะสนุกสนานร่วมกัน คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อยๆ เพราะจะเป็นการฝึกพัฒนาการด้านการพูดของลูกได้เป็นอย่างดี
 


มาตรฐานการเติบโตของเด็ก ตั้งแต่แรกเกิด - 6 ปี โดยเฉลี่ย


อายุน้ำหนัก(กิโลกรัม) ส่วนสูง(เซนติเมตร)
แรกเกิด350
3 เดือน5.560
6 เดือน767
1 ปี975
1 ปีครึ่ง10.580
2 ปี1285
3 ปี1492
4 ปี16100
5 ปี18108
6 ปี20115

หมายเหตุ เด็กปกติอาจจะมีการเติบโตแตกต่างจากค่าเฉลี่ยนี้ได้บ้างเล็กน้อย

อาหารทารก ใน 1 วัน

อายุอาหาร
แรกเกิด
ถึง 3 เดือน
น้ำนมแม่ แต่เพียงอย่างเดียว อย่าให้ข้าวหรือกล้วย
3 เดือนน้ำนมแม่ ข้าวบด 1 - 2ช้อนคาว และน้ำแกงจืด สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกงอมบด
4 เดือนน้ำนมแม่ กล้วยน้ำว้าสุกงอมบด 1 ผล ข้าวบด 1 - 2 ช้อนคาว กับไข่แดงต้มสุกครึ่งฟอง และน้ำแกงจืด
5 เดือนน้ำนมแม่ กล้วยน้ำว้า หรือผลไม้สุกบด 3 ช้อนคาว ข้าวบด 2 - 4 ช้อนคาว กับไข่แดงต้มสุก 1 ฟอง สลับกับ เนื้อปลาสุกบด และน้ำแกงจืด
6 เดือนน้ำนมแม่ ผลไม้สุกบด 3 ช้อนคาว ข้าวบด 4 - 6 ช้อนคาว กับไข่แดงต้มสุก 1 ฟอง สลับกับ เนื้อปลาสุกบด ใส่ผัก และน้ำแกงจืด
7 เดือนน้ำนมแม่ ผลไม้สุก ข้าวบด กับไข้ต้มสุก หรือเนื้อปลาสุกบด หรือเนื้อหมูสุกบด หรือตับบด ใส่ผักสุกบด และน้ำแกงจืด
8-10 เดือนน้ำนมแม่ กินข้าว 2 มื้อ ผลไม้สุก ข้าวบด กับไข้ต้มสุก หรือเนื้อปลาสุกบด หรือเนื้อไก่สุกบด ใส่ผักสุกบด และน้ำแกงจืด
10-12 เดือนน้ำนมแม่ กินข้าว 3 มื้อ ผลไม้สุก ข้าวหุงจนนุ่ม กับไข้ต้มสุก หรือเนื้อปลาสุก หรือเนื้อวัวสุกบด หรือเนื้อไก่ต้มสุก หรือตับ และน้ำแกง จืดใส่ผัก

 อาหารสำหรับเด็กอายุ 1-5 ปี ใน 1 วัน

อาหารปริมาณอาหารคำแนะนำเพิ่มเติม
นม2 แก้วนมสด หรือนมผสม นอกเหนือจากนมแม่ ซึ่งให้ต่อไปได้ ถึงขวบครึ่ง
ไข่1 ฟองไข่ไก่ หรือไข่เป็ด (สุกๆ เพราะย่อยง่าย)
เนื้อสัตว์(สุก)3-4 ช้อนโต๊ะกินอาหารทะเล และเครื่องในสัตว์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง**
ข้าวสวย1-2 ถ้วยหุงแบบไม่เช็ดน้ำ หรือนึ่ง
ผัก1/2-1 ถ้วยกินผักใบเขียว และผักอื่นๆ ด้วย ทุกมื้อ
ผลไม้มื้อละ 1/2-1 ผลผลไม้สดตามฤดูกาล หรือน้ำผลไม้คั้น
ไขมันหรือน้ำมัน2 ช้อนชาควรกินน้ำมันพืชมากกว่าน้ำมันสัตว์
1. ถ้าไม่ได้กิน นมหรือไข่ ควรกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น อีกอย่างน้อย 2-3 เท่า
2. อาหารสำหรับเด็ก ควรตัดให้เป็นชิ้นเล็ก สุก และเคี้ยวง่าย
3. 1 ถ้วย คือ 16 ช้อนโต๊ะ

นมแม่ดีที่สุด


นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุด เพียงอย่างเดียว สำหรับทารกแรกเกิด จนถึงอายุ 3 เดือน เพราะมีสารอาหาร เหมาะสมครบถ้วน ย่อยง่าย มีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อ และสารกระตุ้นการเติบโต ของสมองและอวัยวะอื่นๆ ซึ่งไม่มีอยู่ในนม ชนิดอื่นใด การเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ เพิ่มความผูกพันใกล้ชิด ระหว่างแม่กับลูก และช่วยประหยัดได้ด้วย
แม่ที่เลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ ควรกินอาหารที่มีคุณค่า ครบถ้วนเพียงพอทุกวัน เพื่อสร้างน้ำนมให้ลูก
เพราะนมแม่มีประโยชน์ต่อลูกมาก ถึงลูกจะได้รับอาหารอื่น เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ควรให้ลูกกินนมแม่ต่อไป เท่าที่จะทำได้ หรือถึง 18 เดือน
การให้นม แม่ควรจะอุ้ม มองหน้าสบตา คุยด้วย หลังให้นม ควรอุ้มยกตัวเด็กขึ้นสักครู่ เพื่อให้เรอ จะช่วยให้ท้องไม่อืด และไม่แหวะนมง่าย

แม่-ลูกใกล้ชิดกัน

แม่-ลูกใกล้ชิดกันเร็วที่สุด
แม่ควรจะได้เห็นหน้าลูก และใกล้ชิดกัน ตั้งแต่ในครึ่งชั่วโมงแรก หลังคลอด เพื่อสร้างความผูกพัน และควรให้ลูกได้เริ่มดูดนมแม่ โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการตุ้นน้ำนม ให้หลั่งออกมาตามปกติ และควรให้ลูกได้ดูดน้ำนมช่วงแรก ซึ่งเป็นหัวน้ำนม สีเหลืองค่อนข้างใสด้วย เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง และมีภูมิต้านทางโรค หลายชนิด
การได้รับสัมผัสโอบกอด จากแม่และดูดนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรก และบ่อยๆ ต่อเนื่องกัน ตามที่เด็กต้องการ จะเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก และสนองตอบความตื่นตัว ของระบบประสาทของเด็ก ซึ่งมีคุณค่ามากที่สุด
ส่วนพ่อ ก็ควรมีส่วนร่วมตั้งแต่แรกเริ่ม โดยสนใจดูแลใกล้ชิด และให้กำลังใจแก่แม่ ช่วยดูแลให้แม่ ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนเพียงพอ ช่วยแบ่งเบา ภาระอื่น ของแม่ เพื่อให้แม่ได้พักฟื้น และมีเวลาเลี้ยงลูก ได้อย่างเต็ม

อาหารเด็ก

 อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ และให้นมลูก
อาหารปริมาณอาหารต่อหนึ่งวัน
หญิงตั้งครรภ์หญิงให้นมลูก
นม2-3 แก้ว2-3 แก้ว
ไข่1 ฟอง1 ฟอง
เนื้อสัตว์ ปลา หรือ
ถั่วเมล็ดแห้ง
10 ช้อนโต๊ะ12 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสวย5 ถ้วย5-6 ถ้วย
ผัก1 1/2-2 ถ้วย1 1/2-2 ถ้วย
ผลไม้มื้อละ 1-2 ผล หรือ
1-2 ชิ้นของผลใหญ่
มื้อละ 1-2 ผล หรือ
1-2 ชิ้นของผลใหญ่
ไขมัน/น้ำมันพืช4 ช้อนชา5 ช้อนชา
*1 ถ้วยคือ 16 ช้อนโต๊ะ
บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม