แคท น่ารักจัง

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพลงเด็ก7วัน7สี

นิทานเรื่องราชสีห์กับหนู

นิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง





นานมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีแม่และลูกสาวตัวเล็ก ๆ หน้าตาหน้า เอ็นดูมากคนหนึ่ง ที่ใคร ๆ ต่างก็จะเรียกเธอกันจนติดปากว่า


" หนูน้อย หมวกแดง" ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากด้วยเธอมักที่จะใส่หมวกที่เป็น แบบเสื้อคลุมติดกันสีแดงสด ซึ่งหมวกนี้ยายของเธอที่อยู่ในหมู่บ้านถัดไป ได้ถักให้กับเธอเป็นของขวัญ


ในวันเกิด และเธอก็ชอบมันมากมักจะใช้ ประจำติดตัวอยู่เสมอนั่นเอง หนูน้อยคนนี้เป็นเด็กหญิงที่น่ารัก จิตใจดี มีเมตตาต่อเพื่อน ๆ และสัตว์ ทั้งหลาย ดังนั้นเธอจึงเป็นที่รักยิ่งของทุกๆ คนและเพื่อน ๆ รวมทั้งสัตว์ ต่าง ๆ อีกด้วย






อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของหนูน้อยหมวกแดงได้เรียกหาเธอแต่เช้าแล้วบอกว่า " วันนี้ลูกต้องเอาอาหารซึ่งเป็นขนมพาย, และ เหล้าองุ่นไปให้คุณยายที่กำลังนอนป่วยอยู่นะจ๊ะ" หนูน้อยหมวกแดงรีบตอบรับทันที " ค่ะ" พลางฉวยตระกร้าจากมือของแม่ แล้วทำท่าจะเดินจากไป โดยมีแม่ร้องสำทับขึ้นตามหลังว่า " อย่าเถลไถลและแวะเล่นที่ไหนด้วยนะจ๊ะ ลูก เพราะคุณยายกำลังรออยู่ แล้วอีกอย่างหนึ่งลูกจะกลับบ้านมืดค่ำด้วย อันตรายจ้ะ ได้ยินไหม?" หนูน้อยหวกแดงรับคำอีกครั้ง "ค่ะ แม่" แล้วเธอก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของยาย ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกหมู่บ้านหนึ่งทันที






หมู่บ้านถัดไปที่คุณยายของเธออาศัยต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ทุ่งหญ้านั้นมีต้นอ้อปลิวไสวล้อเล่นลม และยังมีดอกไม้นานาพันธุ์ออกดอกบาน สะพรั่ง มีผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยบินไปมา อากาศหรือก็เย็นสบาย และในขณะ ที่หนูน้อยหมวกแดงกำลังเดินชื่นชมกับความงามของธรรมชาติสองข้างทาง ไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น ก็เกิดได้มีหมาป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเข้าพอดี มันหยุดชะงัก เพราะได้กลิ่นหอมของขนมพายจากตะกร้าของหนูน้อยหมวกแดงนั่นเอง


ฉับพลันมันคิดว่า "ฉันต้องการขนมพายที่อยู่ในตะกร้านั่น และรวมทั้งเจ้าของตะกร้านั่นด้วย" และไวเท่าความคิด มันรีบวิ่งไปดักหน้าหนูน้อยหมวกแดงเอาไว้ ตอนแรกหนูน้อยก็ ตกใจเพราะเคยได้ยินมาว่า หมาป่ามันชอบกัดเด็ก แต่ด้วยเธอเป็นเด็กที่เชื่อคนง่ายนั่นเอง เธอหยุดยิ้มหวานให้ ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงรีบพูดขึ้นว่า "อย่าตกใจไปเลย หนูน้อย ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ เท่านั้นจ้ะ แล้วนี่เธอจะไปไหนหรือ?" หมาป่าพูดพลางจ้อง ที่ตระกร้าขนมพายด้วยดวงตาเป็นมันวาวทีเดียว หนูน้อยหมวกแดงได้ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า " หนูกำลังจะไปบ้านยาย จะเอาขนมพายนี่ไปให้ยายที่กำลังนอนป่วยอยู่ค่ะ" มันแอบยิ้มอย่างเจ้าเลห์ ก่อนที่จะพูดอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เก็บดอกไม้พวกนี้ไปฝาก ยายด้วยละจ้ะสวย ๆ ทั้งนั้นเลย" แต่หนูน้อยหมวกแดงไม่ทันสังเกตและสงสัยอะไร เพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องดอกไม้พวกนี้อยู่ว่า "เก็บดอกไม้แค่นี้ คงไม่เสียเวลามากหรอกมั้ง แล้วที่สำคัญคุณยายก็คงจะชอบมากด้วย " คิดได้ดังนั้น หนูน้อยหมวกแดงจึงแวะเก็บดอกไม้ด้วยความเพลิดเพลิน....






ส่วนเจ้าหมาป่าเมื่อมันได้ยินว่ายายของหนูน้อยหมวกแดงกำลัง นอนป่วยอยู่เท่านั้น มันก็คิดเปลี่ยน


แผนการณ์ทันที


" เดี๋ยวไปกินยายของมันก่อนดีกว่า...เพราะมันบอกว่ายายของมันกำลังไม่สบาย จะต้องไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะต่อสู้เราได้ และเมื่อกินยายของมันแล้ว ทีนี้ก็ดักรอ แล้วกินอ้ายเด็กนี่ทีหลัง..ฮ่ะ ๆๆๆ " มันได้รีบวิ่งไปที่บ้านของคุณยายที่นอนป่วย อยู่ทันที และเมื่อมันมาถึงก็เคาะประตูร้องเรียกแถมทำเสียงเลียนแบบหนูน้อย หมวกแดง " ยาย...คุณยายจ๋า เปิดประตูให้หนูหน่อย นี่หนูน้อยหมวกแดง เองจ้า.. เปิดประตูให้หน่อย สิจ๊ะ..." คุณยายที่อยู่ในบ้านก็เชื่อสนิทว่าเป็นเสียง ของหลานจริง ๆเสียด้วย แต่พอคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาเปิดประตูเพื่อรับ หลานรักเข้าเท่านั้นเอง...






คุณยายก็เลยต้องโดนเจ้าหมาป่าที่มันคอยตั้งท่าจะกินอยู่แล้วนั้น...เขมือบเข้าปากไปเลยทีเดียวทั้งตัว โดยไม่ต้องเคี้ยวว่าอย่างนั้น .... คำเดียวจริง ๆ หายเข้าไปอยู่ในท้องของมันหมดทั้งตัวเลย และเมื่อมันกินคุณยายแล้ว เจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ก็จัดการสวมเสื้อผ้า สวมหมวก สวมแว่นตา ของคุณยายแล้วกระโดดขึ้นเตียง เอาผ้าห่มคลุมตัวของมันไว้ แล้วมันก็นอนรอหนูน้อยหมวกแดง ที่จะมาถึงอย่างใจเย็น " อ้ายเด็กบ้านั่นมันเชื่อคนง่าย จะต้องนึกว่าข้าคือยายของมันจริง ๆ อย่าง แน่นอน และเมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก็จับมันกินได้อย่างง่าย ๆ"






และเพียงไม่นาน เวลาที่มันรอคอยก็มาถึง เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น "ก๊อก ก๊อก ก๊อก"


ตามมาด้วยเสียงเรียกของหนูน้อยหมวกแดง "คุณยายคะ อยู่หรือเปล่าคะ" สักพักก็มีเสียงตอบกลับมาว่า "อยู่จ้ะหลาน ยายอยู่ในห้องนอน แน่ะ เข้ามาสิจ้ะ " หนูน้อยหมวกแดงจึงเดินเข้ามาที่เตียงของคุณยาย แล้ววางตระกร้าอาหารลง หนูน้อยหมวกแดงพนมมือไหว้คุณยายของเธอ ด้วยความเคารพและกล่าวว่า " สวัสดีค่ะ คุณยาย " คุณยายตัวปลอม หรือเจ้าหมาป่ายกมือรับไหว้หนูน้อยหมวกแดง แล้วหนูน้อยหมวกแดง ก็สังเกตเห็นแขนที่ยาว และเต็มไปด้วยขนยาว ๆ ของคุณยาย ก็ถามขึ้น ด้วยความสงสัยว่า " คุณยายขา ทำไมแขนของคุณยายถึงยาวแล้วก็มี ขนละคะ " เจ้าหมาป่าตอบว่า " ที่ขนของยายยาวแล้วก็มีขน ก็เพราะยาย เอาไว้กอดหลานให้ชื่นใจและหลานจะได้อุ่นหายหนาวด้วยไงจ๊ะ "






แล้วหนูน้อยหมวกแดงก็เห็นหูที่ยาวของคุณยายของเธอ ก็ถามขึ้นด้วยความ แปลกใจอีกว่า


" คุณยายขา ทำไมหูของคุณยายถึงยาวอย่างนั้นละคะ " เจ้าหมาป่าเริ่มจะหงุดหงิด จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักว่า


" ยายก็.. เอาไว้ฟังเสียงหลานให้ชัด ๆ นะสิ " แต่หนูน้อยหมวกแดงยังไม่คลาย ความสงสัย เมื่อเธอเหลือบไปเห็นเขี้ยวที่ยาวและคมวับของคุณยายของเธอ เธอเกิดความกลัวจึงค่อย ๆ ถอยออกและถามด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า


" ละ...แล้ว.. ทำไม ฟันกับปากของคุณยายถึงได้ยาวแล้วก็น่ากลัวอย่างนั้นละคะ" เจ้าหมาป่าหมดความอดทนเพียงแค่นั้น มันแยกเขี้ยวที่ขาวเป็นมันวับ ของมันแล้วตอบว่า


" ข้าก็เอาไว้กินเจ้าน่ะสิ เจ้าเด็กบ้า "






เมื่อเจ้าหมาป่าตัวร้ายพูดจบก็กระโจนออกมาจากผ้าห่ม พร้อมทั้งกับย่างสามขุม ตรงเข้าประชิดจนติดตัวของหนูน้อยหมวกแดงทันที แล้วพูดว่า " เหอ ๆๆๆ ที่ฟันกับปากมันยาวและใหญ่อย่างนี้น่ะ น้า..หนูน้อยหมวกแดงเอ๋ย ก็...เอาไว้กินเจ้าอย่างนี้ ยังไงเล่า เหอๆๆๆ " มัน หัวเราะเสียงดังลั่น แล้วตรงเข้าจับหนูน้อยหมวกแดง โยนใส่ปากแล้วกลืน ทีเดียวเข้าไปในท้องของมันคำเดียวจริง ๆ เหมือน ๆกับตอนที่กินคุณยายนั่นเลย " ฮ่า ๆๆ ช่างอร่อยเสียจริง ๆ ทั้งยายทั้งหลานเลย เหอๆๆๆ "






เจ้าหมาป่าด้วยความตระกระเกินตัวกินเข้าไปพร้อมกันทั้งยายและหลานเข้าอย่างนั้น มันจึงเกิดหนักท้องเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุทำให้มันเกิดความง่วงอยากนอนขึ้นมาในทันทีทันใด มันจึงล้มตัวลงนอน หลับสนิทแถมยังกรนเสียจนเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหว


" คร๊อก..ฟี่...คร๊อก...ฟี้ " ก้องไปจนทั่วทั้งป่าเลยทีเดียว และก็พอดีที่ในขณะนั้น เกิดได้ มีพรานป่าพร้อมกับสุนัขล่าเนื้อแสนรู้ตัวโปรดของเขา ที่เป็นเพื่อนบ้าน และรู้จักกับ คุณยายของหนูน้อยหมวกแดงเป็นอย่างดีผู้หนึ่งได้เดินทางผ่านมาแถว ๆ นั้นเข้าพอดี...






เมื่อพรานป่ากับสุนัขล่าเนื้อได้ยินเสียงกรนที่ดังสนั่นหวั่นไหวออกมาจากบ้าน ของคุณยาย เจ้าสุนัขล่าเนื้อก็เห่ากรรโชกขึ้นด้วยเสียงอันดัง " โฮ้ง ๆๆ " นายพรานป่า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเสียงกรนของคุณยาย แต่เมื่อเขาพยายามฟังดู ก็เกิดความสงสัย


" แต่..เอ๊ะ... เสียงน่ะมันดังออกมาจากบ้านคุณยายอย่างแน่นอน แต่ ! เสียงกรนนี่...มันไม่ใช่เสียง ของคุณยายแกนี่...เกิดอะไรหรือปล่าว


น่าสงสัยจัง?? " นายพรานป่าด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก จึงเดินเข้าไปที่ใกล้ ๆ แล้วแอบมองเข้าไปดูที่ข้างในบ้านทันที






ภายในบ้านไม่มีแม้แต่เงาของคุณยายเลยสักนิด แต่กลับมีหมาป่าตัวหนึ่ง กำลังนอนพุงกาง และที่สำคัญที่ท้องของมันนั้นก็ใหญ่โตจนผิดปกติเสียด้วย " โอ๊ะ อะไรกันนั่น มีแต่หมาป่านอนกรนอยู่ตัวเดียว แล้วที่ท้องของมันนั่น !...ก็..ทำไมถึงได้ใหญ่ มากมายอย่างนั้นด้วยเล่านี่ โอ้ ๆๆ สงสัยอ้ายหมาป่ามันคงต้องกินคุณยายเข้าไปแล้ว อย่างแน่นอน... แย่แล้ว" แล้วเมื่อพรานป่าพยายามเงี่ยหูฟังดูให้ถนัด ๆ อีกครั้ง เขาก็ พลันได้ยินเสียงที่แทรกออกมาแบบแผ่วๆ ปนกับเสียงกรนที่ดังสนั่นหวั่นไหวนั้น อีกด้วยว่า


" ช่วยด้วย ช่วยด้วย " ใช่แล้วมันเป็นเสียงร้องของคุณยายกับเสียง ของหนูน้อยหมวกแดงที่พยายามร้องเรียกให้ใครมาช่วยอยู่ในท้องของเจ้าหมาป่า.... นั่นเอง






นายพรานป่าฟังจนแน่ชัดแล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน เขารีบผ่าท้องของเจ้าหมาป่า ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างไม่รู้ตัว ตัวนั้นทันทีทันใด....จึงเป็นด้วยการดังนี้นี่เอง ที่นาย พรานป่าสามารถช่วยเหลือให้คุณยายและหนูน้อยหมวกแดง ออกมาจากท้องของเจ้าหมาป่า ได้อย่างทันการและปลอดภัย หนูน้อยหมวกแดงเมื่อออกมาจากท้องของหมาป่าได้ ก็รีบพูดขอบคุณนายพรานผู้นั้นเป็นการใหญ่ทีเดียว


" ขอบคุณ ท่านพรานป่าที่ มาช่วยไว้ได้ทันการ ขอบคุณอย่างมากค่ะ "






ส่วนคุณยายนั้น เมื่อหายตกใจแล้วก็รีบพูดขึ้นกลางครันว่า " หลานน้อยหมวกแดง รีบไปเก็บก้อนหิน มามากๆ เลยหลานรัก เร็ว.. เจ้าหมาป่ามันยังคงหลับไม่รู้ตัวอยู่ ไปเอาหินมาใส่ลงไปในท้องของมันนี่ เร็ว ๆๆ " และเมื่อได้ก้อนหินมาแล้ว คุณยาย ก็จัดการใส่ก้อนหินมากมายเหล่านั้นลงไปในท้องของเจ้าหมาป่าทั้งหมด เสร็จแล้ว คุณยายก็เอาเข็มมาเย็บลงไปที่ท้องของเจ้าหมาป่าอย่างแน่นหนาจนเข้าที่อย่างเดิม แล้วทั้งสามก็มาแอบดูเหตุการณ์กันอยู่ที่หลังต้นไม้นอกบ้านอย่างเงียบเชียบ...






ส่วนเจ้าหมาป่าเมื่อนอนหลับเต็มที่แล้ว มันตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย " ว้า ๆๆ ทำไมข้าถึง ได้รู้สึกคอแห้งและหิวน้ำมากมายอย่างนี้นะ " และด้วยความที่มันกระหายเป็นอย่างมาก นั่นเองมันเดินแบบงัวเงียเอามือป้องปากหาวหวอด ๆ เดินออกมานอกบ้านเพื่อหมาย จะไปดื่มน้ำที่บ่อน้ำบาดาลที่อยู่ใกล้ ๆ กันนั้นเอง มันเดินเซไปเซมาด้วยความหนัก ของหินที่อยู่ในท้องของมันอย่างไม่รู้ตัว แล้วยังบ่นไปด้วยว่า " อ๋อย.. อ้อย...ทำไม ท้องของข้าถึงได้หนักมากมายอย่างนี้เล่า เอ้อ..จะก้าวขาแต่ละทีละก็..ลำบากจัง " หนูน้อย หมวกแดงที่แอบอยู่ที่ใกล้ ๆ กันนั้น ก็ตอบแบบเสียงแผ่ว ๆ ทำเสียงให้เหมือนกับดัง ลอดออกมาจากท้องของเจ้าหมาป่ามันว่า


" ก็กินเข้าไปตั้งสองคน ก็ต้องหนักน่ะสิ "






เจ้าหมาป่าเมื่อได้ยินเสียงบอกมาว่าอย่างนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย " อ้อ..จริงสิ ก็กินเข้าไปตั้ง สองคนทั้งยาย ทั้งหลาน มันก็ต้องหนักอย่างนี้ละ ฮ่า ๆๆ " ด้วยเจ้าหมาป่ามันไม่ทันคิดถึง หรือรู้ตัวว่าหนูน้อยหมวกแดง และคุณยายนั้นได้ออกมาจากท้องของมันได้แต่นมแต่นานแล้ว นั่นเอง มันจึงไม่คิดสงสัยอะไร และพยายามเดินไปจนถึงที่ตรงปากบ่อน้ำบาดาลนั้นจนได้ และเมื่อมาถึงปากบ่อแล้ว มันก็รีบปีนขึ้นไปบนปากบ่อแล้วก้มหัวลงไปหมายจะดื่มน้ำให้หาย กระหาย แต่เป็นด้วยที่ว่าในท้อง ของมันนั้นมีก้อนหินอยู่อย่างมากมาย และด้วยความหนัก มันจึงเสียหลักหัวทิ่มลงไปในบ่อน้ำบาดาลนั้นอย่างไม่เป็นท่า และได้จบชีวิต ชั่ว ๆ ของมันใน บ่อน้ำบาดาลนั้นเลย...






และเมื่อเป็นดังนั้น ทั้งสามคือคุณยาย พรานป่าและหนูน้อยหมวกแดง จึงด้วย ความดีใจที่สามารถปราบหมาป่าตัวร้ายลงได้ ก็ได้จัดการ นำเอาขนมพายและ เหล้าองุ่นที่หนูน้อยหมวกแดงนำมาเยี่ยมไข้ให้กับคุณยายพวกนั้น ออกมา เลี้ยงฉลองความดีใจที่พ้นภัยร้ายมาได้อย่างหวุดหวิด แล้วในขณะที่กำลังสังสรรย์ กันอยู่เพลิน ๆ นั้น หนูน้อยหมวกแดงก็นึกขึ้นมาได้ถึง สิ่งที่เธอถูกใช้ให้มาทำธุระ จึงพูดถามคุณยายว่า


" อ๊ะ..คุณแม่บอกว่าคุณยายไม่สบายอยู่นี่คะ แล้วอาการเป็นยังไง บ้างล่ะคะ " คุณ ยายได้ตอบหนูน้อยหมวกแดงอย่างอาย ๆ ว่า


" เมื่อตะกี๊ ต้องตกใจ อย่างมากมายขนาดนั้นเข้าน่ะสิ...ไข้ที่เป็นอยู่เลยหายหมดเลยจ๊ะหลานรัก อิ ๆๆๆ " เมื่อคุณยายพูดจบทั้งสามก็หัวเราะขึ้นจนเกือบจะพร้อมกันเลยทีเดียวเชียว........






เมื่องานสังสรรจบลงและทั้งหมดก็อิ่มหนำสำราญกันแล้ว คุณยายได้บอกกับ หนูน้อยหมวกแดงหลานรักว่า " นี่จ๊ะ ขนมคุ๊กกี้กับลูก สเตอร์เบอร์รี่ เป็นของ ตอบแทนที่เธอมาเยี่ยมไข้ให้กับยาย แล้วนี่ก็ได้เวลาที่เธอจะต้องกลับไปบ้าน ของเธอแล้วด้วย นะจ๊ะหลานรัก " ส่วนคุณลุงนายพรานป่านั้นก็ได้ของขวัญ ติดมือกลับไปด้วยเหมือนกันคือ


" หนังของเจ้าหมาป่าตัวร้าย " นั่นเอง แล้วทั้งสองก็เดินทางแยกย้ายกันกลับไปตามที่อยู่อาศัยของตน อย่างสำราญบานใจด้วยกัน ทั้งสองคนว่าอย่างนั้น...






และเมื่อหนูน้อยหมวกแดงของเรากลับมาถึงที่บ้านของเธอแล้ว ก็ได้รีบเล่าเรื่อง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่บ้านของคุณยาย ให้กับคุณแม่ของเธอฟัง และได้สัญญากับคุณแม่ของเธอว่า


" ต่อแต่นี้ไปเมื่อคุณแม่ใช้ให้ไปทำธุระ จะไม่เถรไถรเที่ยวแวะเล่นที่ ตรงไหน...แล้วก็จะไม่ ไว้ใจและพูดคุยกับใครที่เป็นคนแปลกหน้าเป็นอันขาด "






ค่ะ..บทเรียนที่แสนอันตรายอันนี้ ก็คิดว่าหนูน้อยหมวกแดง เธอคงจะต้องเข็ด และจำจนขึ้นใจไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอนเลยนะคะ...






คติที่สอนให้รู้ว่า...ของนิทานเรื่องนี้ก็คงมีอยู่ที่ว่า


"อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"

















เด็กกับอินเตอร์เน็ต










มีการคาดการณ์จากองค์กรเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ ถึงจำนวนเด็กที่เล่นอิน-เทอร์เน็ต ใน ปี 2005 จะเพิ่มจำนวนเป็น 77 ล้านคน ในจำนวนนี้คาดว่าเป็นเด็กไทยประมาณ 3 แสนคน




นับว่าเป็นเรื่องดีที่เด็กหันมาใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารและค้นคว้า เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์สู่เทคโนโลยี แต่อีกนัยหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอินเทอร์เน็ตยังคงเป็นดาบสองคมที่พร้อมจะส่งผลร้ายต่อผู้เล่นได้ หากการก้าวเข้าหานวัตกรรมล้ำยุคนี้ ขาดความเข้าใจที่ดีพอ โดยเฉพาะกับเด็ก วัยแห่งความอยากรู้อยากเห็น ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาแล้วที่สหรัฐอเมริกา




แซมอายุ 14 ปี เพิ่งเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตได้ไม่นานก็ไปรู้จักกับเด็บบี้ในแชทรูม เด็บบี้บอกว่าอายุเท่าแซม ทั้งสองติดต่อกันอยู่นานจนเริ่มชอบพอกัน และวันหนึ่งก็ชวนกันออกเดท โดยเด็บบี้บอกแซมว่าไม่ต้องบอกพ่อแม่ แซมได้รู้ในวันนั้นว่าเด็บบี้ที่คุยกับเขา ที่แท้เป็นชายสูงวัย และวันนั้นเองแซมก็ถูกข่มขืนโดยชายคนนั้น




เรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นเพราะพ่อแม่ของแซมสังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกที่เปลี่ยนไป และถามความจริง จนรู้ว่า ลูกตัวเองถูกข่มขืน จึงได้แจ้งจับชายคนนั้น ตำรวจใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะเจอชายคนดังกล่าว และได้พบหลักฐานทั้งรูปภาพเด็กชาย ที่แสดงให้เห็นว่าชายคนดังกล่าวเป็นพวก "รักเด็กชาย"




เรื่องไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นไม่นานแซมกลายเป็นเด็กเก็บกด และเรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งมีเด็กชายอายุ 13 ปีคนหนึ่ง ผ่านมาขายของหน้าบ้านแซม แซมไม่ได้ซื้อของแต่พยายามบังคับข่มขืนเด็กชายคนนั้น แต่เด็กคนนั้นขัดขืน แซมเลยตัดสินใจฆ่า และนำศพไปทิ้งหลังบ้าน และตำรวจตามมาพบในที่สุด จึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต และทำให้สหรัฐหันกลับมาพูดคุยเรื่องอินเทอร์เน็ตกับเด็กมากขึ้น


อินเทอร์เน็ตอันตรายต่อเด็กอย่างไร




ภาพความรุนแรงระหว่างเด็กกับอินเทอร์เน็ตในบ้านเราอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้งหลาย หากแต่พิจารณาตามศักยภาพและตัวเลขการใช้อินเทอร์เน็ต หรือการเปิดบริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เติบโตขึ้นเรื่อยมา ทำให้หลายคนอดเป็นห่วงอันตรายจากอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก




จากประสบการณ์การทำงานด้านอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ เจ้าหน้าที่ข้อมูลและสื่อสาร มูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาทางเพศจากเด็ก (เอ็กแพค) ให้ข้อมูลว่า พบอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นกับเด็กซึ่งเล่นอินเทอร์เน็ตในหลายรูปแบบ




อย่างแรกคือภาพหรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก นอกเหนือจากเวบลามกแล้ว ยังมีเวบที่มีข้อมูลที่มีนัยทางสังคม เช่น เวบที่สนับสนุนให้ก่อความรุนแรง หรือเวบที่กล่าวถึงการเหยียดสีผิว เวบที่กล่าวถึงยาเสพย์ติด หรือเวบที่สอนทำระเบิดขวด เวบเหล่านี้อาจส่งผลต่อความคิดของเด็ก และส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กในอนาคต




เช่นกรณีของเด็กในยุโรปเจอเวบไซต์ที่เกี่ยวกับการทำระเบิดขวดแล้วลองทำด้วยตัวเองโดยที่พ่อแม่ไม่ทราบ แล้วนำไปโยนเล่น จนเกิดเป็นเหตุสลดใจ ซึ่งในที่สุดเด็กสารภาพว่านำความรู้มาจากอินเทอร์เน็ต




เมื่อเด็กไปเจอกับเวบไซต์ที่ไม่เหมาะสม จึงเป็นเหมือนสะพานนำเด็กไปพบกับบุคคลที่ไม่หวังดีได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีของการเล่นแชท เด็กอาจถูกล่อลวงจากผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติทางจิต หรือเป็นพวกนิยมมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอย่างกรณีตัวอย่างของแซมเป็นต้น ซึ่งไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นกับบ้านเราในวันหนึ่งข้างหน้า




อันตรายในลำดับถัดมายังพบว่า เด็กในปัจจุบันใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากเกินไป ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรงแล้ว ยังเป็นการลดความสัมพันธ์กับสังคมในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว เด็กจะหันไปสร้างความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า เป็นความรู้สึกแบบฉาบฉวย และทำให้เด็กไม่กล้าสื่อสารโดยการพูด สังเกตได้ง่ายๆ ถ้าเด็กพูดน้อยลง


แล้วจะปกป้องอย่างไร




การออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะสกัดกั้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก โดย "เนคเทค" หรือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ พยายามออกกฎหมายออกมาหลายฉบับ แต่ส่วนใหญ่เน้นที่การปกป้องธุรกิจอินเทอร์เน็ตมากกว่า




นอกจากนี้ ยังพยายามเพิ่มเติมโทษในกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจาร จากเดิมที่เอาผิดเฉพาะผู้จำหน่ายเท่านั้น ก็เอาผิดเพิ่มเติมกับคนที่มีสื่อลามกไว้ในครอบครองด้วย โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตซึ่งเด็กคงต้องมีการพูดคุยกันอย่างจริงจังมากขึ้น




"กฎหมายนี้เอื้อประโยชน์กับการละเมิดสิทธิเด็กในเวลาเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาเราจับเฉพาะผู้ขายแต่ตอนนี้ผู้ที่ซื้อหรือคนที่มีไว้ในครอบครองด้วย ซึ่งรวมถึงภาพลามกบนอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน"




อย่างไรก็ตาม การตามจับกุมผู้กระทำผิดทางอินเทอร์เน็ตตามจับกุมได้ยากมาก เพราะไม่สามารถทราบได้เลยว่าคนที่เป็นเจ้าของอยู่ที่ใด และอาจใช้เซิร์ฟเวอร์จากเมืองนอกได้ การหวังพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจสกัดกั้นได้




ในด้านเทคนิค จิตราภรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้มีซอฟต์แวร์ เรียกว่าFiltering Software ทำหน้าที่กลั่นกรองเวบไซต์ ตลอดจนภาพที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยนำไปติดไว้กับคอมพิวเตอร์ เด็กก็ไม่สามารถเข้าไปดูเวบเหล่านั้นได้




นอกจากเหนือจากการป้องกันในระดับนโยบาย จิตราภรณ์เสนอว่า จำเป็นต้องมีความร่วมมือกันในระดับภาคธุรกิจอินเทอร์เน็ตเช่นกัน เพราะภาคธุรกิจเป็นตัวจักรสำคัญที่สร้างกระแสการใช้อินเทอร์เน็ตให้เข้ามาสู่กลุ่มเด็กมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากแผนการตลาดของบางบริษัทที่ขยายเข้าไปสู่กลุ่มเด็ก คำถามคือ ภาคธุรกิจคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กอย่างไรบ้าง




มีตัวอย่างความพยายามประสานความร่วมมือกันของกลุ่มไอเอสพี เรื่องการกลั่นกรองคำพูดหรือรูปภาพที่ไม่เหมาะสม จากรายการทางยุโรปมีการรวมตัวกันของกลุ่มไอเอสพียุโรป โดยใช้ชื่อว่า Euro ISPA ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของไอเอสพีทั่วยุโรป 500 แห่ง ร่วมกันทำร่างกฎหมาย คล้ายกับจรรยาบรรณ ซึ่งมีข้อตกลงหลายๆ อย่างที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก




โดยจะมีเวบตักเตือนหรือสัญญาเตือนหากมีเวบไม่เหมาะสมปรากฏขึ้น และออกข้อตกลงสำหรับตรวจสอบการทำงานของไอเอสพีด้วยกัน หากไอเอสพีใดไม่ปฏิบัติตามก็อาจจะมีการลงโทษ ซึ่งจิตราภรณ์มองว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในเมืองไทย




เรื่องการเพิ่มโทษตามกฎหมาย รวมถึงการขอร้องจากไอเอสพีเอง เป็นการลดทอนอันตรายจากอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเท่านั้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หากเด็กยังขาดความรู้และความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ย่อมมีสิทธิ์พลาดพลั้งให้กับคนที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต




ดังนั้น การให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรจะทำให้เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อคิดจะท่องโลกอินเทอร์เน็ต




ในนิวซีแลนด์มีแคมเปญรณรงค์เพื่อให้ความรู้กับเด็ก โดยพยายามสร้างความเข้าใจในอันตรายเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งสอนในห้องเรียน และเผยแพร่ตามสื่อทั่วไป นอกจากนี้ยังเลยไปถึงกลุ่มคนรอบข้างอย่างพ่อแม่ ที่พร้อมจะอธิบายให้เด็กรู้ถึงอันตรายด้วยเช่นกัน




นอกจากนี้ยังออกเป็นข้อห้ามให้เด็กท่องก่อนการใช้อินเทอร์เน็ต เช่น ห้ามบอกชื่อที่อยู่หรือข้อมูลของตัวเด็กให้กับคนในแชท นอกจากขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อน ห้ามให้เบอร์บัตรเครดิต หรือเลขที่บัญชีเงินฝาก ห้ามให้พาสเวิร์ด ห้ามโต้ตอบกับข้อความหยาบคาย และที่สำคัญห้ามไปพบกับคนที่นัดหมายมาจากการแชท เป็นต้น




สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องห้ามเด็กเพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ไม่เคยเล่นอินเทอร์เน็ต เชื่อว่าสิ่งที่คู่สนทนาบอกนั้นเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นกรณีของแซม ดูเหมือนว่าทางป้องกันทางใด ก็ไม่น่าจะมีประสิทธิภาพ เท่ากับการเอาใจใส่ของครอบครัว หรือครู เพราะไม่ว่าเด็กจะไปเจอกับอะไรบนอินเทอร์เน็ต เด็กก็ยังรู้ว่ามีคนที่เขาจะขอคำปรึกษาได้


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

เพลงแม่ไก่ใจดี

บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม